in , , ,

รีวิว All-New Honda HR-V ปรับใหม่ Gen 2 ดีขึ้นกว่าเดิมทุกด้าน แค่รุ่นเริ่มต้นก็คุ้มแล้ว

เรียกได้ว่ารถยนต์ในกลุ่ม B-SUV หรือ Crossover ในเวลานี้ กำลังแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แถมยังมีผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง HAVAL Jolion Hybrid ที่กระโดดเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มนี้ ทำให้ All-New Honda HR-V ที่เดิมทีเป็นผู้บุกเบิกตลาดรถยนต์ในกลุ่มนี้ เจองานยากมากขึ้นไปอีก แถมคู่แข่งที่มีอยู่ในตลาดต่างก็มีจุดขาย และจุดแข็งที่สูสีกันหมดทุกค่ายจริงๆ

การมาของ All-New Honda HR-V ในฐานะเจเนอร์เรชั่นที่ 2 จึงต้องยกระดับ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถยนต์ในกลุ่มนี้ โดยครั้งนี้ Honda ทุ่มสุดตัว จับเอาเทคโนโลยีขับเคลื่อนแบบ Full Hybrid ที่ได้ชื่อเป็นระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะที่มอบอัตราประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยม พร้อมติดตั้งมาให้ทั้งไลน์อัพตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นอย่างรุ่น e:HEV E ที่มีราคาจำหน่าย 9.79 แสนบาท เท่านั้นยังไม่พอยังยัดเทคโนโลยีความปลอดภัย Honda SENSING เวอร์ชั่นใหม่ ที่ใส่มาให้ครบตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นเช่นกัน

แต่จุดขายหลักที่ติดตัวมากับ Honda HR-V ใหม่ นั้น จะเพียงพอที่จะต่อกรกับคู่แข่งในตลาดได้หรือไม่? งานนี้คงต้องมาว่ากันที่ฟิลลิ่ง และสมรรถนะการขับขี่ ซึ่งทางทีมงาน Autostation.com ได้ไปลองสัมผัสมาให้แล้ว ถ้าอยากรู้มันเป็นอย่างไร ไปติดตามกันได้เลย

สำหรับการทดสอบครั้งนี้ ทาง Honda ได้จัด All-New HR-V ในรุ่นท็อปสุด RS มาให้ได้ลองสัมผัส ซึ่งนอกจากอ็อพชั่น และดีไซน์การตกแต่งที่แตกต่างไปจากรุ่นย่อยอื่นๆ แล้ว ในเรื่องของการเซ็ตอัพช่วงล่างก็มีความแตกต่างไปจากรุ่นอื่นด้วย ซึ่งหากใครที่สนใจในรุ่นย่อย E หรือ EL คงจะถ่ายทอดให้ได้เฉพาะในเรื่องของขุมพลัง เพราะฟิลลิ่งของระบบช่วงล่างนั้นจะมีความแตกต่างกันพอสมควร โดยรุ่น RS นั้น มีการเซ็ตอัพแดมเปอร์ และค่า K ของสปริงที่แข็งกว่า รองรับการขับขี่ที่สปอร์ตกว่า รวมถึงน้ำหนักพวงมาลัยที่ถูกตั้งค่ามาให้มีความแตกต่างกัน

สำหรับรายละเอียดภายนอก และภายใน รวมไปถึงรายละเอียดความแตกต่างเรื่องอ็อพชั่นของทั้ง 3 รุ่นย่อยนั้น สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่ All-New Honda HR-V สปอร์ตพรีเมียม SUV ขุมพลัง Full Hybrid ที่พร้อมสร้างมิติใหม่ให้กับตลาดประเทศไทย เพราะในบทความนี้เราจะมาว่ากันที่สมรรถนะการขับขี่ และฟิลลิ่งหลังจากที่ได้ทดลองขับ All-New Honda HR-V เป็นครั้งแรก อย่างเดียวเท่านั้น

สิ่งที่คุณต้องรู้คือ All-New Honda HR-V ทุกรุ่นย่อย ขับเคลื่อนด้วยระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่ผสานการทำงานร่วมกันระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) กับ เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ที่ส่งกำลังด้วย ระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) พร้อมระบบ ควบคุมอัจฉริยะ (Intelligent Power Unit – IPU) ที่จัดเก็บพลังงานใน แบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน

โดย มอบกำลังสูงสุดทั้งระบบที่ 131 แรงม้า มาพร้อมแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0-3,500 รอบ/นาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดที่ 25.6 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งเป็นอัตราประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงที่สุดในกลุ่มนี้ และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 94 กรัม/กิโลเมตร

โดยหลักการทำงานของระบบ e:HEV ของ Honda HR-V นั้น จะแบ่งได้ 3 โหมดการขับขี่ด้วยกัน คือ EV Drive Mode ซึ่งจะเป็นการใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 100% ในการขับเคลื่อน ซึ่งโหมดนี้จะทำงานในจังหวะการขับขี่ในเมือง หรือจังหวะที่การจราจรติดขัดเป็นหลัก

แต่ถ้าคุณ Kick Down หรือต้องการเค้นพลัง หรือจังหวะเร่งแซงต่างๆ จะเป็นการทำงานในรูปแบบ Hybrid Drive Mode ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์ ซึ่งคุณจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์คำรามชัดเจน ซึ่งพละกำลังสูงสุดของรถเกิดจากการทำงานร่วมกันแบบ Hybrid นั่นเอง

ส่วนโหมด Engine Drive Mode ที่เป็นการใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตรเป็นตัวขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียวนั้น จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคุณขับขี่ด้วยความลอยตัวแบบคงที่ ซึ่งเป็นสถาณการณ์ที่การใช้เครื่องยนต์ทำงาน 100% กินน้ำมันน้อยที่สุด ส่วนมอเตอร์จะทำงานสร้างกระแสไฟเพื่อไปจัดเก็บไว้ในแบตเตอรี่แทน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น รูปแบบการทำงานทั้ง 3 โหมด ไม่ได้มีกฏเกณฑ์หรือข้อกำหนดที่ตายตัว บางสถานการณ์อาจมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ ซึ่งทั้งหมดนั้นทาง Honda ระบุว่า เกิดจากระบบ ควบคุมอัจฉริยะ (Intelligent Power Unit – IPU) ที่จะคำนวณและสั่งการให้ทำงานในโหมดใดโหมดหนึ่ง ที่เกิดอัตราประหยัดน้ำมันสูงสุดในช่วงเวลานั้น หรือในสถานการณ์นั้นๆ พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ ทั้ง 3 โหมดนี้จะแปรผันและปรับเปลี่ยนการทำงานให้อัตโนมัติ ตามที่ IPU คำนวณได้ว่าแบบไหนให้อัตราประหยัดน้ำมันที่ดีที่สุดในช่วงจังหวะเวลานั้นนั่นเอง

แต่ถ้าการตอบสนองยังไม่ทันใจ คุณสามารถเลือกปรับด้วยตัวเองช่วยได้ ซึ่งมีสวิตช์ Drive Mode ให้เลือกใช้งานอยู่ 3 โหมด ได้แก่

  • ECON Mode – โหมดการขับขี่แบบประหยัด
  • Normal Mode – โหมดการขับขี่แบบปกติ
  • Sport Mode – โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต

นอกจากนั้นแล้ว ใน All-New Honda HR-V ยังมีระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) ที่จะทำงานคล้ายๆ กับ Engine Brake โดยมีให้เลือกปรับความหน่วงของมอเตอร์ได้หลายระดับ แถมยังเป็นการสร้างกระแสไฟกับไปจัดเก็บที่แบตเตอรี่ด้วย ซึ่งสามารถใช้แทนจังหวะเชนจ์เกียร์ในการขึ้นลงทางลาดชันได้ อีกทั้งยังมอบความสนุกสนานในการขับขี่ควบคู่ไปกับความปลอดภัยด้วย

แต่ถ้าคุณต้องการความปลอดภัย มั่นใจสุดๆ ขณะลงทางลาดชัน Honda HR-V ใหม่ ก็มีระบบระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรถยนต์ Honda เลยก็ว่าได้ โดยระบบจะทำงานเพื่อช่วยควบคุมคันเร่ง และเบรก เพื่อรักษาความเร็วได้อย่างเหมาะสมเมื่อขับรถลงจากทางลาดชัน โดยระบบจะทำงานที่ความเร็วต่ำกว่า 20 กม./ชม.

ส่วนระบบความปลอดภัย มาพร้อมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะ Honda SENSING ที่ได้มาเหมือนกันหมดทั้ง 3 รุ่นย่อย ประกอบไปด้วย

  • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ
  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ
  • ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่

แต่สิ่งที่ควรมี และยังเป็นรองคู่แข่งอยู่ก็คือ กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา และ ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา Blind Spot แต่ก็ยังดีที่ Honda ยังมีระบบความปลอดภัยมาตรฐานอื่นๆ ใส่มาทดแทน อาทิ

  • ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
  • ระบบ Auto Brake Hold
  • ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)
  • กล้องมองภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera)
  • ถุงลม 6 ตำแหน่ง
  • ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) และระบบกระจายแรงเบรก (EBD)
  • ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist – VSA)
  • ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA)
  • สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal – ESS)

หากคุณพิจารณาจากตัวเลขสเปคด้านบนแล้ว ก็อาจจะดูเหมือนกับว่า All-New Honda HR-V นั้น มีสเปคทั้งแรงม้า และแรงบิดที่น้อยกว่าคู่แข่งหน้าใหม่อย่าง HAVAL Jolion แต่ถ้าได้ลองสัมผัสแล้ว บอกเลยว่ามันไม่จริง!! เพราะทีมงาน Autostation.com นั้นได้ลองขับมาทั้งคู่แล้ว แต่ในเรื่องของระบบความปลอดภัยอันนี้คงต้องยอมเขา

สำหรับสมรรถนะการขับขี่ของ All-New Honda HR-V นั้น หากเทียบกับโฉมเก่า ต้องบอกว่าดีขึ้นในทุกมิติจริงๆ ทั้งในเรื่องของอัตราเร่ง อัตราประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ความกว้างขวางสะดวกสบายของห้องโดยสาร รวมไปถึงระบบช่วงล่างที่ดีขึ้นอย่างรู้สึกได้ ขอแตกประเด็นเป็นเรื่องๆ จะได้อธิบายให้เข้าใจกันได้ง่ายๆ

เริ่มที่อัตราเร่ง การได้มอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยขับเคลื่อนแบบ Hybrid นั้น ทำให้จังหวะเร่งแซง หรือต้องการเค้นพลังทำได้เฉียบขาดยิ่งขึ้น แม้ว่าในรอบกลาง (ตั้งแต่ความเร็ว 80 – 120 กม./ชม.) จะมีตื้อๆ ไปบ้าง แต่ก็ขึ้นได้เร็วกว่าคู่แข่งที่เคลมตัวเลขสูงกว่า อันนี้ยืนยันได้เลย แต่จากจุดหยุดนิ่ง 0-80 กม./ชม. อันนี้ HR-V ใหม่ จะขึ้นช้ากว่านิดหน่อย แต่ก็ถือว่าขึ้นได้เร็วกว่าเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตรในโฉมก่อน ส่วนความเร็วสูงสุดนั้นจะถูกล็อคเอาไว้ที่ 170 กม./ชม. ซึ่งถือว่าทำได้สูงกว่าคู่แข่งหน้าใหม่ที่ถูกล็อคเอาไว้ที่ 157 กม./ชม.

ด้านอัตราประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ครั้งนี้ Honda เคลมเอาไว้สูงที่สุดในกลุ่ม โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 25.6 กม./ลิตร ซึ่งหลังจากที่ได้ทดสอบขับจริง แม้ตัวเลขอาจจะไม่ถึงที่เคลมเอาไว้ แต่ก็ป้วนเปี้ยนๆ ได้แถวๆ 19 – 20 กม./ลิตร (ขับแบบทดสอบอัตราเร่ง และความเร็วสูงสุด) ซึ่งถ้าขับใช้งานในเมือง หรือขับแบบใช้งานในชีวิตประจำวันรับรองได้ว่าตัวเลขเกินหลัก 20 กม./ลิตร อย่างแน่นอน

ฟิลลิ่งของช่วงล่าง และ Handling อย่างที่บอกไปตอนต้นว่า เราได้ทดลองขับในรุ่น RS ซึ่งมีการเซ็ตอัพที่แตกต่างจากรุ่นอื่น โดยฟิลลิ่งที่สัมผัสได้ต้องบอกว่ามันนวล และกระชับขึ้นเยอะ อาการย้วย โยน ที่เคยประสบในโฉมเก่าหายไปเป็นปลิดทิ้ง แถมยังให้การซับแรงกระเทือนที่อยู่ในเกณฑ์นุ่มและแน่น ไม่ถึงกับแข็งตึ้งตั้ง แต่ยังไม่เฟิร์มเท่ากับที่เคยสัมผัสได้ใน Mazda CX-3 หรือ CX-30 แต่เชื่อว่าการเซ็ตติ้งช่วงล่างในรูปแบบนี้ น่าจะถูกอกถูกใจผู้ใช้รถชาวไทยอย่างแน่นอน ซึ่งพี่ๆ นักข่าวหลายๆ ท่านก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เอาช่วงล่างของ RS ไปติดตั้งไว้ในรุ่นย่อยอื่นเลยจะได้ไหม แบบเนี่ยแหละตอบโจทย์สุดๆ จะขับชิลๆ ก็นุ่ม จะซิ่งก็ยังไปได้

ภายในโดยรวมมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายที่ครบครัน ตอนหลังไปลองนั่งมาแล้วก็กว้างขวางนั่งสบายไม่ติดขัด เพียงแต่จุดเดียวที่มีปัญหาเล็กน้อยก็คือ ในรุ่น RS นั้น มาพร้อมกับหลังคากระจก Panoramic Glass Roof ซึ่งมันจะมี Sunshade เสริมเอาไว้ให้ติดเพื่อปิดบังแสงแดด ซึ่งถ้าคุณปิดมันไว้ที่หลังคาก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดอยากจะชมทัศนียภาพด้านบนขึ้นมา เจ้า Sunshade นั้นจะเกะกะขึ้นมาทันที เพราะไม่รู้จะเอาไปเก็บไว้ตรงไหน ซึ่งส่วนนี้คิดว่าทำเป็นม่านเลื่อน หรือหลังคาซันรูฟ (เปิด-ปิดได้) ไปเลยก็จบแล้ว

อีกหนึ่งจุดที่ต้องแจ้งให้ทราบคือ กระจกหน้าต่างบานหลังค่อนข้างต่ำ ทำให้ผู้โดยสารที่ตัวสูง ระดับสายตาอาจจะอยู่ในแนวเดียวกับขอบกระจก ทำให้เวลานั่งเดินทางไกลๆ อาจเกิดความรู้สึกที่อึดอัดได้ วิธีแก้คือ ถอดเจ้า Sunshade ออกเพื่อให้บรรยากาศภายในห้องโดยสารตอนหลังมันโป่งโล่งขึ้น แต่คุณก็คิดหาวิธีการจัดเก็บเจ้า Sunshade กันเอาเองนะ

บทสรุป

หากคุณพิจารณา และเปรียบเทียบตัวเลขสเปคจากโบรชัวร์ คุณอาจคิดว่า All-New Honda HR-V นั้น เป็นรองคู่แข่งอยู่หลายรายการ แต่ถ้าคุณได้ลองสัมผัสขับจริงแล้ว คุณจะรู้ว่า B-SUV คันนี้แหละ มีสมรรถนะการขับขี่ที่กลมกล่อมลงตัว ไม่มากไปหรือน้อยไป ได้อัตราเร่ง และช่วงล่าง รวมถึงอัตราประหยัดน้ำมันที่อยู่หัวแถวของ Crossover เครื่อง Hybrid ได้ความกว้างใหญ่ และฟีเจอร์ภายในที่ไม่เป็นสองรองใคร แถมราคาค่าตัวก็ไม่ได้เวอร์วังจนตัดสินใจยาก ส่วนตัวคิดว่ารุ่นเริ่มต้นอย่างรุ่น e:HEV มีความน่าสนใจ เพราะได้ราคาต่ำกว่าล้าน และได้ขุมพลัง e:HEV รวมถึง Honda SENSING เหมือนกัน ส่วนช่วงล่างค่อยไปเสียตังค์อัปเกรดเพิ่มเอาก็ได้ตามใจต้องการ

All-New Honda HR-V มีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่

  • รุ่น e:HEV RS ราคา 1,179,000 บาท
  • รุ่น e:HEV EL ราคา 1,079,000 บาท
  • รุ่น e:HEV E ราคา 979,000 บาท