ต่อจากกรณีที่ทางบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ได้นำรถยนต์ B-Segment รุ่นใหม่ ที่ถูกคลุมลายพรางวิ่งทดสอบสมรรถนะการขับขี่ทั่วประเทศไทย ซึ่งก็เป็นการยืนยันแล้วว่าทาง MG นั้นพร้อมที่จะเปิดตัวรถใหม่ในตลาดเมืองไทย ซึ่งจากภาพที่ปล่อยออกมา ถึงแม้ว่าจะถูกพรางตัวด้วยสติ๊กเกอร์ แต่ก็สามารถเดาได้ว่ารถรุ่นดังกล่าวนี้ก็คือเจ้า All-New MG3 Hybrid+
All-New MG3 Hybrid+ ใหม่รุ่นล่าสุดนี้ เพื่งจะได้รับการเปิดตัวในตลา่ดยุโรป ที่ในงาน Geneva Auto Show 2024 ที่ถูกจัดขึ้นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อกุทมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศไทยนั้นคาดการณ์ว่าจะได้รับการเผยโฉมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมที่จะถีงนี้
สำหรับ All-New MG3 ใหม่นี้จะเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 ของรถแฮทช์แบ็คขนาดเล็ก โดยจะได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดตั้งแต่หน้าจรดท้าย มาพร้อมขุมพลังไฮบริด + ที่เป็นการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตรกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุดรวม 192 แรงม้า
ในด้านงานดีไซน์จะเน้นความโฉบเฉี่ยว โดยจะดูคล้ายคลึงกับรถซีดานรุ่นพี่อย่าง MG5 และ MG7 รวมถึงแอบคล้ายกับ MG4 รุ่นล่าสุด โดยด้านหน้าจะมากับชุดไฟหน้า LED ทั้งระบบ มาในทรง 3 เหลี่ยมที่ปรับให้ดูเล็ก และเรียวลงกว่าเจนฯ ที่ผ่านมา โดยจะถูกลากยาวไปถึงด้านข้างของฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหน้าที่ปรับใหม่ให้มีความสั้น และมีความลาดลง อีกทั้งยังมาพร้อมกับเส้นสายที่เฉียบคม
มาพร้อมกระจังหน้าที่ได้รับการออกแบบใหม่ โดยมีขนาดที่ใหญ่ และดูยาวขึ้น ด้านในมาพร้อมลวดลายตะแกรงสีดำขนาดใหญ่ นอกจากนั้นยังย้ายโลโก้ MG จากเดิมที่อยู่ตรงกลางกระจังถูกเปลี่ยนตำแหน่งให้ขึ้นไปวางไว้ที่เหนือกระจังหน้าใต้ฝากระโปรงหน้า รวมทั้งมาพร้อมดักอากาศรูปตัว C ขนาดใหญ่ที่ขนาบข้างทั้ง 2 ฝั่งของตัวกระจัง ขณะที่ชายกันชนหน้า ออกแบบให้ดูมีความสปอร์ตมากขึ้น โดยจะมาในลายคาร์บอนไฟเบอร์
เส้นสายด้านข้างตัวรถจะดูโฉบเฉี่ยวกว่ารุ่นที่ผ่านมา หลังคาด้านท้ายดีไซน์ใหม่มีความลาดเท ส่วนล้ออัลลอยมาในลวดลาย 5 ก้าน แบบทูโทนปัดเงา ขนาด 16 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 195/55 R16
ขณะที่ในด้านท้ายจะมากับชุดไฟท้าย LED ทรงสามเหลี่ยมที่เหมือนกับด้านหน้า มาพร้อมตราโลโกแบรนด์ขนาดใหญ่ที่ฝาท้ายใต้กระจกหลังของรถ นอกจากนั้นยังเสริมควารมดุดันให้กับตัวรถด้วยดิวฟิวเซอร์สีดำขนาดใหญ่
ในด้านขนาดมิติตัวรถของ MG3 ใหม่ จะมีความยาว 4,113 มม. ความกว้าง 1,797 มม. ความสูง 1,502 มม. มาพร้อมระยะฐานล้อ 2,570 มม.
ภายในห้องโดยสารจะได้รับการออกแบบดีไซน์ใหม่ทั้งหมด แผงแดชบอร์ดจะมากับหน้าจอคู่ที่ประกอบไปด้วยแผงหน้าปัดดดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว มาพร้อมหน้าจออินโฟเทนเมนต์ขนาด 10.25 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Android Auto/Apple CarPlay มาพร้อมระบบนำทางในตัว รวมทั้งยังมาพร้อมกับระบบเชื่อมต่อ iSMART
นอกจากนั้นยังออกแบบในส่วนของชุดควบคุมปรับอากาศใหม่ให้เป็นแบบปุ่มกด โดยวางเรียงกันในลักษณะคล้ายแป้นเปียโน ที่อยู่นล่างหน้าจอควบคุมส่วนกลาง
คอนโซลกลางถูกวางเชื่อมต่อกับแผงคอนโซลหน้า โดยจะมากับชุดแป้นเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติแบบปุ่มหมุน Shift By Wire ที่คล้ายคลึงกับที่พบใน MG4 EV รวมถึงยังได้รับชุดเบรกมือไฟฟ้า และปุ่ม Auto Brake Hold ที่วางอยู่ด้านข้างแป้นเกียร์ รวมทั้งยังได้รับแท่นชาร์จสมาร์ต และช่องวางขวดน้ำขนา่ดใหญ่ 2 ช่อง
เบาะที่นั่งหุ้มด้วยหนังคุณภาพสูง ตัดเย็บตัวเบาะนั่งในรูปแบบเพชร เย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีแดง ทั้งที่ตัวเบาะนั่ง และบริเวณคอนโซลหน้า รวมทั้งคอนโซลกลาง ขณะที่ชุดอุปกรณ์จะได้รับระบบเสียงลำโพง 6 ตำแหน่ง, ช่องต่อ USB 4 ช่อง, กุญแจ Keyless entry, กล้องมองภาพ 360 องศา และระบบช่วยเหลือการขับขี่ MG Pilot, เซ็นเซอร์กะระยะท้ายและกล้องมองหลัง
ด้วยมิติตัวรถที่ กว้าง และยาวขึ้นกว่าเจนฯ ที่ผ่านมา ส่งผลให้ห้องโดยสารกว้างขวางขึ้น ช่วยให้มีพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระที่มีขนาดความจุมากถึง 293 ลิตร โดยสามารถวางกระเป๋าเดินทางแบบลากขนาดใหญ่ได้ถึง 3 ใบ
ด้านระบบความปลอดภัยจะมากับชุด MG Pilot ADAS พร้อมระบบต่างๆ อาทิระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับได้, เซ็นเซอร์และกล้องหลังสำหรับช่วยจอดรถ, ระบบช่วยให้รถอยู่ในช่องจราจรพร้อมระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกช่องจราจร, ระบบเตือนก่อนการชนด้านหน้า และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ
ในด้านระบบกำลังขับเคลื่อนของ MG3 Hybrid+ จากชื่อก็บ่งบอกแล้วว่าจะมากับขุมพลังไฮบริด ที่ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตร ที่ให้กำลัง 102 แรงม้า แรงบิด 128 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าตัวเดียวที่ให้กำลัง 134 แรงม้า เมื่อทั้ง 2 ระบบทำงานร่วมกันจะให้กำลัง 192 แรงม้า ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด มาพร้อมโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือก 3 โหมด ได้แก่ Eco, Standard และ Sport โดยในโหมด Sport จะให้อัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ได้ภายใน 8 วินาที ความเร็วสูงสุดจะอยุ่ที่ 170 กม./ชม.
มาพร้อมชุดแบตเตอรี่ 1.83 kWh ในด้านอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงถ้าอิงจากสเปกที่เปิดตัวในยุโรป ทางเอ็มจี เคลมไว้อยู่ที่ 4.4 ลิตร/100 กม. หรือประมาณ 22.7 กม. ต่อลิตร พร้อมปล่อยค่า CO2 อยู่ที่ 100 กรัม/กม.
สำหรับเฉดสีตัวถังของ All-New MG3 Hybrid+ จะมีให้เลือก 7 สี ได้แก่ สีดำ Pebble Black, สีขาว Dover White, สีเงิน Cosmic Silver
สีเหลือง Pastel Yellow, สีแดง Diamond Red, สีเทา Hampstead Grey และสีน้ำเงิน Como Blue
สำหรับ All-New MG3 Hybrid+ สเปกประเทศไทยนั้นคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงเดือนกรกฎาคมที่จะถีงนี้ ส่วนราคาจำหน่ายคาดว่าจะเปิดราคาไม่เกิน 6 แสนบาท
ส่วนรายละเอียดสเปกของเวอร์ชันไทยจะเป็นอย่างไรต้องอดใจรอกันอีกสักนิด โดยทางทีมงาน Autostation.com จะนำรายงานให้เพื่อนๆ ได้ทราบอีกครั้งหนี่งหากมีข้อมูลเพิ่มเติมออกมา