สิ้นสุดการรอคอยเสียที่สำหรับ BYD SHARK กระบะ PHEV คันแรกของแบรนด์บีวายดี ได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วในประเทศเม็กซิโก มาพร้อมพละกำลังในรูปแบบ PHEV เสียบปลั๊กชาร์จไฟ ให้กำลังรวมสูงสุดที่ 430 แรงม้า พร้อมวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าได้ระยะทางไกลสุด 100 กม. เมื่อแบตเตอรี่ชาร์จไฟเต็ม เปิดราคาจำหน่ายในเม็กซิโกเริ่มที่ 899,980 เปโซเม็กซิโก หรือประมาณ 1.95 ล้านบาท
สำหรับ BYD SHARK เป็นรถบรรทุกขนาดกลาง โดยถูกพัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์ม DMO (Dual Mode Off-Road) ที่เน้นประสิทธิภาพการขับขี่แบบออฟโรด ของทาง BYD ที่เหมือนในรุ่น Fangbaobao 5 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Leopard 5
ในด้านพละกำลังขับเคลื่อนจะมากับขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเทอร์โบ 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้กำลังรวมสูงสุด 430 แรงม้า ให้อัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม ในเวลา 5.7 วินาที โดยตัวรถจะรองรับน้ำหนักบรรทุกได้สูงสุด 835 กก. และมีพละกำลังในการลากจูงอยู่ที่ 2,500 กก.
มาพร้อมชุดแบตเตอรี่ขนาด 29.5 kWh ชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง จะวิ่งในโหมดไฟฟ้าล้วน ๆ ได้ระยะทางไกล 100 กม. โดยทางบีวายดีเคลมว่าถ้าน้ำมันเต็มถัง พร้อมแบตเตอรี่ชาร์จไฟเต็มจะวิ่งได้ระยะทางครอบคลุมถึง 840 กม. (NEDC) อีกทั้งยังบอกอีกว่าจะมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 7.5 ลิตร ต่อ 100 กม. หรือประมาณ 13.3 กม./ลิตร
พร้อมรองรับการชาร์จไฟแบบ DC ที่จะให้กำลังไฟจาก 30% – 80% ในเวลาเพียง 20 นาที รวมทั้งยังมากับระบบ V2L ที่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้อุปกรณ์ภายนอกได้
ในด้านงานออกแบบดีไซน์จากรายละเอียดที่หลุดมาก่อนหน้านี้ กับรูปเวอร์ชั่นจริงนั้นแถบจะไม่แตกต่างกัน ด้านหน้ามากับกระจังหน้าติดอักษร BYD ที่เป็นชื่อแบรนด์ไว้ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยชุดไฟหน้า Dual LED ที่มาในแบบแนวตั้ง มาพร้อมไฟ DRL LED รูปตัว C นอกจากนั้นยังได้รับการติดตั้งการ์ดกันกระแทกสีเงินที่อยู่ใต้กันชนหน้า
ด้านข้างออกแบบให้ดูกว้าง และแข็งแกร่งด้วยซุ้มล้อที่ถูกตีโป่ง มาพร้อมออัลลอยทูดทนปัดเงาขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยาง AT จากทาง Giti ขนาด 265/65R18, กระจกมองข้างขนาดใหญ่ และบันไดข้างตามแบบฉบับรถสายลุย ส่วนด้านบนหลังคาติดตั้งราวหลังคา และซันรูฟขนาดใหญ่ นอกจากนั้นยังดีไซน์ในส่วนของหลังคาให้เป็นแบบลอยตัวด้วยการตกแต่งเสาตัวรถด้วยเฉดสีดำ
ส่วนพื้นที่กระบะท้ายออกแบบให้ค่อนข้างสั้น เสริมความสปอร์ตด้วยสปอร์ตบาร์ขนาดใหญ่ ด้านชุดไฟท้าย LED มาในแบบทรงเหลี่ยมขนาดใหญ่แนวตั้ง โดยชุดไฟเบรกจะเป็นรูปตัว C ที่ด้านใน อีกทั้งยังมีเส้นแถบไฟลากยาวเชื่อมไฟท้ายทั้ง 2 ฝั่ง โดยติดตั้งไว้ที่ฝากระบะท้าย
ในด้านมิติขนาดตัวรถจจะความยาวอยู่ที่ 5,457 มม. ซึ่งยาวกว่า มีความยาวมากกว่าทั้ง Chevrolet Colorado และ Ford Ranger ขณะที่ความกว้างจะอยู่ที่ 1,971 มม. สูง 1,925 มม.และมีระยะฐานล้อ 3,260 มม.
ดีไซน์ภายในแผงแดชบอร์ดจะมากับ แผงหน้าปัดดิจิตอลขนาด 10.25 นิ้ว ที่วางอยู่ด้านหลังพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันทรง D-Shape มาพร้อมหน้าจออินโฟเทนเมนต์แบบสัมผัสขนาด 12.8 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อ Android Auto, Apple CarPlay พร้อมรองรับการสั่งงานด้วยเสียงเพียงเริ่มต้นพูดว่า “Hi BYD” นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับหน้าจอ W-HUD ที่สะท้อนข้อมูลการขับขี่ไปยังกระจกบังลมหน้าที่มีขนาดใหญ่ ถึง 12 นิ้ว
รวมทั้งทาง บีวายดี ยังเพิ่มความบันเทิงด้วยแอปพลิเคชันคาราโอเกะ Stingray ซึ่งช่วยให้เจ้าของสามารถร้องเพลงได้ทุกที่ ที่ไป โดยจะมาพร้อมกับไมโครโฟนที่เป็นอุปกรณ์เสริม
ด้านเบาะที่นั่งจะรองรับได้ 5 ที่นั่งตัวเบาะถูกหุ้มด้วยหนังสาีดำ พร้อมปักชื่อแบรนด์ BYD ไว้ที่พัวเบาะทุกตำแหน่ง รวมทั้งในส่วนช่องแอร์ยังตกแต่งด้วยกรอบสีแดงทั้งที่ด้านหน้า และช่องแอรืสำหรับผู้โดยารตอนหลัง
คอนโซลกลางออกแบบให้มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ถูกเชื่อมต่อกับคอนโซลหน้าแบบสะพาน โดยด้านล่างจะเป็นช่องเก็บของ มาพร้อมพอร์ต USB 2 พอร์ต และ Type-C 1 พอร์ต, แท่นชาร์จสามาร์ตโฟนแบบไร้สายที่จ่ายไฟได้ถึง 50W ขณะที่ในส่วนด้ามคันเกียร์จะออกแบบให้สามารถยืดหดได้ อีกทั้งยังมาพร้อมปุ่มควบคุมสั่งการในรถที่ออกแบบให้ดูคล้ายกับปุ่มงานงานบนเครื่องบิน
นอกจากนี้ BYD Shark ยังมากับระบบกุญแจ NFC ทำงานควบคู่กับ กุญแจแบบคีย์การ์ด พร้อมระบบ Keyless Start
ในด้านระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือการขับขี่ของ BYD Shark จะมากับระบบช่วยขับขี่ ADAS พร้อมกล้องมองภาพ 540° ที่ประกอบด้วยกล้องมองภาพรอบคัน 360° และกล้องภาพใต้ท้องรถ 180° รวมทั้งยังได้รับระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ, ระบบเตือนการชนด้านหน้า, ระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับได้, ระบบเตือนการชนด้านหน้า/ด้านหลัง, ระบบการเตือนชนด้านหลัง, ระบบเตือนรถออกนอกเลน, ระบบเตือนเมื่อเปลี่ยนเลน และระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ เป็นต้น
สำหรับราคาจำหน่ายของ BYD Shark ในเม็กซิโกนั้นจะมีราคาจำหน่ายเริ่มต้นอยู่ที่ 899,980 เปโซเม็กซิโก หรือคิดเป็นเงินไทยจะอยู่ที่ราว ๆ 1.95 ล้านบาท
ส่วนจะเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราที่เมืองไทยหรือไม่นั้นต้องติดตามกันต่อไป แต่คาดว่าคงจะนำเข้ามาอย่างแน่นอน ขึ้นอยู่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหน ซึ่งถ้าหากมีความคืบหน้าออกมาอย่างไร ทางทีมงาน Autostation.com จะนำรายงานให้เพื่อน ๆ ได้ทราบอีกครั้งหนึ่ง