in ,

รีวิว Honda Civic e:HEV RS เมื่อความแรงและความประหยัดอยู่ด้วยกันได้ อะไรจะดีไปกว่านี้?

Honda Civic e:HEV RS จัดเป็นรุ่นท็อปสุดของตระกูล Civic ในเจเนอเรชั่นที่ 11 ซึ่งเผยโฉมเป็นครั้งแรกที่งาน Motor Show 2022 เพื่อเรียกกระแส ก่อนจะประกาศไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน และในวันนี้เราได้ไปสัมผัสสมรรถนะมาแล้ว

จุดเปลี่ยนแปลงสำคัญของการมาในโฉม e:HEV ของ Honda Civic Gen11th ก็คือ การตัดรุ่น 1.5 Turbo RS ออก โดยเหลือรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 Turbo ขายเพียง 2 รุ่น ได้แก่ EL และ EL+

และมีรุ่นเครื่องยนต์ฟลูไฮบริด e:HEV มาเป็นทางเลือกอีก 2 รุ่น ได้แก่ e:HEV EL+ และ e:HEV RS ซึ่งถ้าคุณอยากจะได้ชุดแต่งสปอร์ต RS ดูเหมือนว่าจะถูกบังคับให้ซื้อในรุ่นท็อปสุดเท่านั้น

ในส่วนของรายละเอียดภายนอกคงไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึงกันมาก ในรุ่นท็อปสุดของ Honda Civic e:HEV ยังคงได้รับการติดตั้งชุดแต่งสปอร์ต RS รอบคันเหมือนเดิม แต่จะมีการตกแต่งตามจุดต่างๆ ด้วยโครเมียม เพื่อเพิ่มความพรีเมียมมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงโลโก้ H Mark ที่จะเป็นสีฟ้าตามสไตล์รถไฮบริด e:HEV ของ Honda และท่อไอเสียจะปรับมาเหลืออยู่ปลายท่อเดียว (รุ่น 1.5 Turbo RS เก่า ปลายท่อคู่)

ในส่วนของภายในยังมาในสไตล์เดิมจาก 1.5 Turbo RS ที่มาพร้อมความสปอร์ต และพรีเมียม แต่ในรุ่น e:HEV RS ได้มีการปรับเพิ่มอ็อพชั่นที่เพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ด้วยแอร์สำหรับห้องโดยสารตอนหลัง และเบาะนั่งตอนหลังที่ปรับพับได้แบบ 60:40 แต่ต้องไปดึงสลักที่อยู่ใต้ฝากระโปรงท้ายก่อนนะ ไม่สามารถพับได้เลยจากด้านใน

หัวใจสำคัญอยู่ที่ขุมพลัง โดยจะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson-Cycle DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว ซึ่งจัดเป็นเครื่องยนต์บล็อคใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อ Honda Civic e:HEV โดยเฉพาะ เป็นระบบการจ่ายเชื้อเพลิงแบบหัวฉีดตรง

ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว จัดเก็บพลังงานที่แบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน และส่งกำลังด้วยระบบเกียร์แบบแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า E-CVT โดยให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า (1.5 Turbo กำลัง 178 แรงม้า) ส่วนแรงบิดเพิ่มขึ้นไปเป็น 315 นิวตัน-เมตร ที่มีมาให้ใช้ตั้งแต่รอบเครื่องยนต์ 0-2,000 รอบ/นาที (1.5 Turbo แรงบิด 240 นิวตัน-เมตร) โดยทาง Honda เคลมอัตราประหยัดน้ำมันไว้ที่ 25 กม./ลิตร

จากสเปคข้อมูลเบื้องต้น จะเห็นได้ว่าในรุ่น e:HEV นั้น มีพละกำลังที่สูงกว่า 1.5 Turbo ทั้งแรงม้า และแรงบิด แถมยังมีอัตราประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำได้ดีกว่า รวมไปถึงระบบเกียร์ที่เป็นแบบ E-CVT จึงทำให้ช่วงจังหวะเปลี่ยนเกียร์ทำได้ลื่นไหลและนุ่มนวลกว่า ซึ่งหลังจากที่ได้ลองสัมผัสมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ว่า!!

คาแร็คเตอร์ของอัตราเร่งในขุมพลัง e:HEV จะมาดีในช่วงต้น-กลาง อัตราเร่งบจี๊ดจ๊าดขับสนุก แต่ถ้าเกิน 140 กม./ชม. ขึ้นไปกลายเป็นว่าไหลขึ้นได้ช้ามาก ซึ่งถ้าเทียบกับตอนที่เคยขับ 1.5 Turbo เข็มไมล์มันพุ่งไปแบบไม่รอใครเลย ซึ่งจุดนี้แหละเป็นจุดที่แตกต่างกันพอสมควร ซึ่งถ้าจะวัดกันที่อัตราเร่ง 0-100 หรือ 80-120 ก็ต้องบอกว่าเครื่องยนต์ e:HEV ทำได้ดีกว่า แต่ถ้าหลังจากนั้น โดน 1.5 Turbo สวนเอาแน่นอน

ซึ่งความเร็วสูงสุดของรุ่น e:HEV จะทำได้ที่ 191 กม./ชม. แต่ในส่วนของเครื่อง 1.5 Turbo ทะลุ 200 กม./ชม. ได้สบายๆ

  • อัตราเร่ง 0-100 ในรุ่น e:HEV ทำได้ 7.8 วินาที (โหมด Sport)
  • อัตราเร่ง 0-100 ในรุ่น 1.5 Turbo ทำได้ 8.5 วินาที

ซึ่งจุดนี้ก็ต้องมาดูกันว่าคุณต้องการ Honda Civic ในรูปแบบไหน หากต้องการนำไปแต่ง ไปทำรถซิ่งตามสไตล์ของความเป็น Civic ส่วนตัวก็ยังมองว่า 1.5 Turbo มีอนาคตกว่า ต่อยอดได้มากกว่า แต่ถ้าคุณต้องการรถหนึ่งคันที่ครบเครื่อง ทั้งความแรงที่มาแต่กำเนิด ไม่นิยมเสริมเติมแต่งหรือโมเครื่องใดๆ และต้องการความประหยัดที่ทำได้ดีกว่า ยังไงซะ e:HEV ก็ถือว่าครบเครื่องมาตั้งแต่โรงงานจริงๆ ก็อย่างที่บอกไม่น่าเชื่อว่าความแรงและความประหยัดมันอยู่ด้วยกันได้!!

ส่วนฟิลลิ่งช่วงล่าง รุ่น e:HEV นั้นมีน้ำหนักมากกว่าถึง 100 กก.(โดยประมาณ) อันเป็นผลมาจากการมีแบตเตอรี่ที่ติดตั้งไว้ใต้เบาะนั่งแถวหลัง รวมไปถึงระยะต่ำสุดจากพื้นที่เตี้ยลงไปจากรุ่น 1.5 Turbo อีก 10 มม. ทำให้จุดศูนย์ถ่วง และบาลานซ์ของรุ่น e:HEV นั้นเหมือนจะดีกว่านิดหน่อย

แต่ถึงอย่างนั้นทาง Honda ก็ยังมีการปรับจูนให้เหมาะสมที่สุด ด้วยการเพิ่มค่า K สปริงให้แข็งขึ้นอีก 10% รวมไปถึงการปรับจูนระบบช่วงล่างของรุ่น e:HEV EL+ กับ e:HEV RS ที่แตกต่างกันด้วย ซึ่งทาง Honda ตั้งใจให้ Honda Civic e:HEV RS นั้นมีฟิลลิ่งที่สปอร์ต ไม่แตกต่างไปจากตอนที่เคยเป็น 1.5 Turbo RS แต่สุดท้ายได้ลองขับแล้วมันก็ยังต่างอยู่ดี

เพราะในเวอร์ชั่น e:HEV RS นั้น จะมีความนุ่ม หนึบ และนั่งสบายกว่า อารมณ์เหมือนรถที่เซ็ทมาให้ผู้ใหญ่ขับ ถ้าคุณเป็นคนชอบรถขับสบาย นั่งสบาย เดินทางไม่เหนื่อยล้า e:HEV ตอบโจทย์แน่นอน แต่ถ้าเป็นวัยรุ่นสายซิ่ง ผมเชื่อว่าช่วงล่างในโฉม 1.5 Turbo RS มันรองรับกับการขับขี่ที่สปอร์ตได้ดีกว่า

แต่ก็อย่างว่าละ มันไม่มีขายแล้ว จะไปเทียบให้ปวดหัวทำไม เพราะถ้าคุณซื้อ 1.5 Turbo EL+ ไป มันก็ไม่ได้ช่วงล่างแบบ RS อยู่ดี สุดท้ายก็ไปเสร็จที่อู่นอก โหลดจัดทรง ตามสเต็ปอย่างที่รู้ๆ กัน

ซึ่งถ้าจะให้สรุป สุดท้ายแล้วช่วงล่างในรุ่น e:HEV RS มันก็เป็นช่วงล่างที่สปอร์ตที่สุดของ Civic Gen11th นี้ แต่จะมีความนุ่ม นั่งสบายขึ้นกว่าเดิม ฟิล Accord ตอนเป็นหนุ่ม เข้าใจนะ!!

ราคาจำหน่าย All-New Honda Civic

  • รุ่น 1.5 Turbo EL ราคา 964,900 บาท
  • รุ่น 1.5 Turbo EL+ ราคา 1,009,900 บาท
  • รุ่น e:HEV EL+ ราคา 1,129,000 บาท
  • รุ่น e:HEV RS ราคา 1,259,000 บาท