AVATR แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าแบบลักชัวรี่ ของทาง CHANGAN (ฉางอัน) ประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ AVATR 11 เอสยูวีคูเป้ไฟฟ้าดีไซน์หรู ทรงพรีเมียมในตลาดเมืองไทย โดยจะมีให้เลือก 2 รุ่น
- AVATR 11 รุ่น Standard Range ราคา 2.099 ล้านบาท
- AVATR 11 รุ่น Long Range ราคา 2.299 ล้านบาท
สำหรับลูกค้า 200 ท่านแรก จะได้ในราคาพิเศษ
- AVATR 11 รุ่น Standard Range ราคา 1.999 ล้านบาท
- AVATR 11 รุ่น Long Range ราคา 2.199 ล้านบาท
มาพร้อมแคมเปญสุดพิเศษ AVATR WithU Select ครอบคลุมสิทธิพิเศษ ฟรีที่ชาร์จติดผนัง การรับประกัน การบำรุงรักษา และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน
สำหรับ AVATR เป็นแบรนด์รถไฟฟ้าสุดหรู ที่เกิดจากความร่วมมือกันระหว่างสุดยอดแบรนด์ชื่อดังจากประเทศจีน 3 แบรนด์ อย่าง CHANGAN Automobile ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ๋จากจีน CATL ผู้ผลิต และให้บริการแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และ Huawei แบรนด์โทรศัพท์ชื่อดังจากประเทศจีน
โดย AVATR 11 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในประเทศจีน เมื่อราว 2 ปีที่ผ่านมา โดยในด้านงานออกแบบดีไซน์จะเน้นความล้ำสมัย หรูหรา ดูพรีเมียมตั้งแต่หน้าจรดท้าย
ด้านหน้ามากับชุดไฟหน้า LED และไฟ DRLs ในดีไซน์แบบเบางเฉียบ ที่เป็นเส้นตรง และรูปตัว L ที่อยู่ถัดลงมาด้านล่าง กระจังหน้าแบบปิดทึบ กันชนหน้าออกแบบให้ดูเป็นช่องรับลมแบบหลอกตาลวยลายเป็นลายตาราง
ดีไซน์ด้านข้างตัวรถแบบเรียบหรู แนวหลังคาลาดเอียงในสไตล์รถคูเป้ มือเปิดประตูเป็นแบบ Pop-Up ที่ราบเรียบไปกับตัวรถ ตัวรถจะไม่มีขอบหน้าต่าง มาพร้อมµดประตูแบบ Soft-close หลังคากระจกแบบพาโนรามาเคลือบสารปองกัน UV
มาพร้อมล้ออัลอยขนาด 21 นิ้ว รัดด้วยยาง 265/45 R21 ในรุ่น Standard Range ส่วนรุ่น Long Range จะเป็นขนาด 22 นิ้ว รัดด้วยยาง 265/40 R22 มาพร้อมเบรก Brembo สีเหลืองด้านหน้า
พร้อมติดตั้งกล้องไว้ที่ด้านข้างตัวรถ เพื่อแสดงว่ารถรุ่นนี้มาพร้อมกล้องรอบคันแบบ 360 องศา ส่วนที่ชาร์จไฟติดตั้งอยู่ที่ซุ้มล้อหลังฝั่งซ๊ายมือ ชุดไฟท้ายแบ LED แบบ Star Ring ที่พาดเต็มขวางในส่วนด้านท้าย
AVATR 11 ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม EP1 มีความยาวตัวรถอยู่ที่ 4,880 มม. ความกว้าง 1,970 มม. ความสูง 1,601 มม. และมีระยะฐานล้อยาว 2,975 มม.
ภายในห้องโดยสารของ AVATR 11 ในเวอร์ชันสเปกไทยจะเป็นแบบ 5 ที่นั่ง ในส่วนของแผงแดชบอรฺ์ดจะมากับหน้าจออินโฟเทนเมนต์ขนาด 15.6 นิ้ว ที่รองรับฟังก์ชันการแบ่งหน้าจอ เพื่อแสดงการนำทาง เล่นเกม และรับชมวิดีโอได้ มาพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 10.25 นิ้ว และหน้าจอฝั่งผู้โดยสารตอนหน้าที่มีขนาดเดียวกันคือ 10.25 นิ้ว ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานผ่านซอฟต์แวร์ของ Huawei มาพร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง ที่สามารถทั้งเปิดปิดประตู เปิดหน้าต่าง รวมทั้งระบบต่าง ๆ ภายในห้องโดยสาร และสามารถอัปเดตได้อย่างต่อเนื่องผ่านระบบ Over-The-Air (OTA)
มาพร้อมกับแท่นชาร์จสมาร์ตโฟนแบบไร้สายให้ 2 ตำแหน่ง พร้อมติดตั้งระบบตัดเสียงรบกวนจากถนน และสามารถสร้างเสียงคำรามของเครื่องยนต์ให้เร้าใจในยามขับขี่ ด้วยระบบ Active Sound Enhancement นอกจากนั้นยังได้รับกระจกมองหลังแบบกล้อง
เบาะที่นั่งเป็นแบบ Zero Gravity หุ้มด้วยหนัง Nappa ฝั่งผู้คนขับ และผู้โดยสารด้านหน้ามาพร้อมระบบเป่าลม และระบบนวดหลังฝั่งคนขับ ปรับไฟฟา 10 ทิศทาง พร้อมระบบดันหลังปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง, ระบบจดจําตําแหน่ง รวมทั้งยังมาพร้อมระบบ Easy Entry & Exit ส่วนเบาะผู้โดยสารด้านหลังจะมีเฉพาะระบบเป่าลมเท่านั้น พร้อมปรับพับได้แบบ 60:40
ด้านชุดอุปกรณ์ จะมากับช่องจ่ายไฟแบบ 12 โวลต์ 2 ตําแหน่ง, ช่องเชื่อมต่อ USB 3 ตําแหน่งด้านหน้าจะเป็นแบบ Type-A,Type-C ส่วนด้านหลัง Type-C ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกอิสระ 2 โซน, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกอิสระ 2 โซน ช่องปรับอากาศสําหรับผู้โดยสารด้านหลัง กรองฝุ่น PM2.5 นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับลําโพง Meridian 25 ตําแหน่ง
ด้านขุมพลังขับเคลื่อนจะมากับมอเตอร์ไฟฟ้าตัวเดี่ยวที่วางอยู่คู่ล้อหลังให้กำลัง 230 kW (313 แรงม้า) แรงบิด 370 นิวตันเมตร มีโหมดการขับขี่ให้เลือก Eco, Comfort, Sport และ Customize
มาพร้อมแบตเตอรี่ Ternary Lithium (NCM) โดยในรุ่น Standard Range จะมีความจุ 90.38 kWh ชาร์จไฟวิ่งได้ระยะทางไกล 575 กม. (NEDC) ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. 6.6 วินาที ส่วนในรุ่น Long Range 116.79 kWh ชาร์จไฟวิ่งได้ระยะทางไกล 680 กม. (NEDC) ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. 6.9 วินาที
รองรับการชาร์จไฟแบบ AC ขนาด 11 kW และรองรับการชาร์จไฟแบบ DC ขนาด 240 kW โดยในรุ่น Standard Range ชาร์จไฟจาก 30 – 80% ในเวลา 15 นาที ส่วนในรุ่น Long Range จะใช้เวลา 25 นา่ที ด้านระบบช่วงล่างของ AVATR 11 ด้านหน้าจะเป็นแบบปีกนกคู่ ส่วนด้านหลังแบบอิสระ 5 ลิงก์
AVATR 11 มาพร้อมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง L2+ (ADAS) มีเรดาร์อัลตราโซนิก 12 ตัว เรดาร์คลื่นมิลลิเมตร 5 ตัว และกล้อง HD 5 ตัว เพื่อการขับขี่ที่แม่นยำและไร้กังวลบนท้องถนน โดยจะมากับฟังก์ชันต่าง ๆ อาทิเช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแปรผันแบบผสมผสาน (IACC), ระบบช่วยเปลี่ยนเลนอัตโนมัติเมื่อเปิดไฟเลี้ยว (UDLC), ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนขณะฉุกเฉิน (ELK), ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ (APA), ระบบช่วยจอดอัตโนมัติจากระยะไกล (RPA)
AVATR 11 ที่เปิดวางจำหน่ายในไทยในรุ่น Standard Range จะมี 3 เฉดสีได้แก่ สีขาว Glossy White, สีเทา Glossy Grey และสีดำ Glossy Black ส่วนในรุ่น Long Range จะมีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีเขียว Aqua Green, สีขาวด้าน Matte White, สีเทาด้าน Matte Grey, สีดำ Glossy Black ส่วนภายในห้องโดยสารจะมี 2 สี คือสีดำ และสีแดง