ฟอร์ด ผู้ผลิตรถจากสหรัฐอเมริกา ได้เปิดตัว Ford GT Mk IV รถแข่งสายสายพันธุ์แรงเจนเนอเรชั่นที่ 3 รุ่นสุดท้าย ที่มาพร้อมสมรรถนะและการควบคุมในระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนทั้งหมด โดยจะสามารถรีดกำลังแรงมเ้าลงพื้นออกมาได้มากกว่า 800 ตัว แลพะจะผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 67 คัน โดย Ford GT Mk IV เจนเนอเรชั่นที่ 3 คันนี้จะถูกสร้างออกมาเพื่อเป็นการยกย่องให้กับรถแข่ง Mk IV รุ่นดั้งเดิมที่ชนะการแข่งขัน 24 Hours of Le Mans ในปี 1967
ด้านงานออกแบบภายนอกตัวรถของ Ford GT Mk IV 2023 จะมากับตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดพร้อมระยะฐานล้อที่ยาวขึ้นและส่วนท้ายที่ยาวขึ้น มาพร้อมชุดไฟหน้า LED ที่เป็นสีเดียวกับตัวรถ, จมูกด้านล่างมีช่องระบายอากาศสไตล์ NACA พร้อมติดตั้งบังโคลนที่กว้างขึ้นทำให้มีช่องระบายความร้อนมากขึ้น
อีกทั้งยังติดตั้งช่องดักลมทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ไว้ที่หลังคา, ฝาครอบเครื่องยนต์แบบมีช่องระบายอากาศ เติมความโหดด้วยดิฟฟิวเซอร์สเปกตัวแข่ง มาพร้อมปีกหลังขนาดใหญ่ และกันชนที่ปิดด้านข้างของไฟท้ายแบบ LED ปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยด์มากับฝาครอบแบบแอโรไดนามิกเพื่อช่วยจัดการกับกระแสอากาศ
นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่สะดุดตา ตัวแข่งปิดตำนานตัวใหม่นี้ จะต้องมาด้วยพลังที่เหนือกว่าเวอร์ชั่นที่วิ่งอยู่บนท้องถนนทั่วไป ดังนั้นทาง Ford จึงเตรียมอัปเกรดขุมพลังของเครื่องยนต์อีโคบูสท์ เทอร์โบคู่ ใหม่ ด้วยการขยายขนาดความจุกระบอกสูบให้ใหญ่ขึ้น โดยคาดว่าคาดว่าขุทพลังบล็อกใหม่นี้ จะผลิตแรงม้าลงพื้นได้มากว่า 800 แรงม้า โดยจะถูกส่งกำลังไปยังล้อหลังด้วยชุดเกียร์ตัวแข่ง
ด้านอัตราตัวเลขต่าง ๆ ทาง Ford ยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่ Larry Holt รองประธานบริหารของ Multimatic Special Vehicle Operations Group เผยว่าตัวแข่งใหม่คันนี้จะมีสมรรถนะในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
นอกจากระยะฐานล้อที่ยาวขึ้น เครื่องยนต์ที่ทรงพลังยิ่งขึ้น และแอโรไดนามิกที่ได้รับการปรับปรุงใหม่แล้ว GT Mk IV ยังมีโครงตัวถังที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงระบบกันสะเทือน Adaptive Spool Valve (ASV) ของ Multimatic
Ford GT Mk IV จะเริ่มส่งมอบรถได้ในช่วงปลายฤดูใบไม้ของปี 2023 ซึ่งตัวรถทั้งหมดจะถูกสร้างขึ้นด้วยมือที่ในโรงงาน Markham รัฐออนแทรีโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนสำหรับใครที่อยากเป็นเจ้าของ Ford GT Mk IV สุดยอดของซุปเปอร์คาร์ตัวแข่ง เจนเนอเรชั่นที่สาม ต้องรีบติดต่อพูดคุยกับทางฟอร์ด เพราะตัวรถจะถูกผลิตออกมาเพียง 67 คันเท่านั้น อีกทั้งจะต้องมีการพูดคุยเป็นการส่วนตัว เนื่องจากจะมีรายละเอียดการปรับแต่งตัวรถให้ตรงความต้องการของแต่ละบุคคล และนอกจากนั้นยังต้องพร้อมที่จะจ่ายเงินสูงถึง 1.7 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ราว 59 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าตัวของตัวแข่งสายพันธุ์ตัวใหม่คันนี้