Lexus แบรนด์รถหรูของทางเครือ Toyota ได้เปิดตัว Lexus RC Final Edition และ Lexus RC F Final Edition รุ่นพิเศษส่งท้าย ก่อนที่ Lexus RC และ RC F รถสปอร์ต 2 ประตูคูเป้พลังไฮบริดทั้ง 2 รุ่นนี้จะยุติการผลิตในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 ที่จะถึงนี้ หลังจากที่ทำตลาดมาร่วม 11 ปี นับตั้งแต่เปิดตัวเดินสายการผลิตครั้งแรกในปี 2014
สำหรับ 2 รุ่นพิเศษ Lexus RC Final Edition และ RC F Final Edition รุ่นพิเศษสั่งลา จะถูกผลิตออกมาให้ผู้ที่ชื่นชอบได้สะสมกันเพียง 200 คัน และจะจำหน่ายเฉพาะในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ เท่านั้น
โดยในรุ่นมาตรฐาน RC Final Edition มากับฝาครอบกระจกมองข้างสีดำ, ล้ออัลลอยของ Enkei ขนาด 19 นิ้ว มาพร้อมคาลิเปอร์เบรคสีแดง อีกทั้งยังติดโลโก้ Lexus อยู่ด้านหลังล้อ นอกจากนั้นตัวรถงยังรเคลือบด้วยสีแบบบางเป็นพิเศษ Sputtering paint หรือ Sputter coating โดยจะมีสีตัวถังเลือกได้ 9 สี โดยหนึ่งในนั้นจะมากับเฉดสีใหม่สีเทา Sonic Iridium
ส่วนในรุ่นตัวแรง RC F Final Edition จะมีความพิเศษเพิ่มขึ้นด้วยแพคเกจแอร์โรคิท ที่จะมากับชุดแต่งคาร์บอนไฟเบอร์ ทั้งที่ Splitter หน้า, สเกิร์ตข้าง, หลังคา, ปีกหลังแบบแอคทีฟ และดิฟฟิวเซอร์ เติมความดุดันด้วยคาลิเปอร์เบรคของ Brembo สีแดง ปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยของ BBS ขนาด 19 นิ้ว สีดำเงา Metal Star Gloss Black ขณะที่เฉดสีตัวถังนั้นในวอร์ชั่นญี่ปุ่น จะมีให้เลือกได้ 7 สี ส่วนเวอร์ชันที่จะเปิดขายในสหรัฐฯ จะมีเพียง 4 สี
ภายในห้องโดยสารของทั้ง 2 รุ่นตกแต่งด้วยธีม สีดำ Black และสีแดง Flare Red นอกจากนั้นยังมากับไฟ LED Welcome Door Light โดยเมื่อเปิดประตูเข้าไปยังห้องโดยสารจะถูกต้อนรับด้วยโลโก้ F Sport ที่ส่องลงไปยังพื้น
ในส่วนแผงแดชบอร์ดจะมากับมาตรวัดแสดงผลกราฟฟิคขนาด 8 นิ้ว ที่มีกราฟฟิตเฉพาะรุ่นแสดงเมื่อตอนสตาร์ทเครื่องยนต์
ด้านคอนโซลจะตกแต่งด้วยหนังกลับ, พวงมาลัย และหัวเกียร์หุ้มหนังกลับ พร้อมเย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายแดง ด้านตัวเบาะที่นั่งคู่หน้ามาในแบบสปอร์ตหุ้มหนังสลับหนังกลับ พร้อมเดินด้ายสีแดงเช่นกัน อีกทั้งยังติดตราตราสัญลักษณ์ Final Edition ไว้ที่ตัวเบาะ
ขณะที่แผงประตูก็จะถูกหุ้มหนังกลับ นอกจากนั้นยังตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ตามจุดต่าง ๆ ทั้งที่ช่องเก็บของหน้าผู้โดยสาร และสวิตช์ควบคุมกระจกหน้าต่างไฟฟ้าที่ประตู ปิดท้ายด้วยแผ่นป้ายชื่อรุ่นที่เป็นแบบคาร์บอนที่อยู่บนแผงแดชบอร์ด
ในด้านพละกำลัง RC Final Edition เวอร์ชั่นญี่ปุ่น จะมากับขุมพลังเครื่องยนต์ไฮบริด 4 สูบ ความจุ 2.5 ลิตร เกียร์ CVT พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า ส่วนสหรัฐฯ เลือกได้ระหว่าง 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ 241 แรงม้า หรือ V6 N/A ความจุ 3.5 ลิตร 314 แรงม้า รุ่นขับเคลื่อนล้อหลังส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ รุ่น AWD ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
ส่วนในรุ่น RC F Final Edition จะร้อนแรงด้วยเครื่องยนต์ V8 N/A ที่มีขนาดความจุ 5.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 466 แรงม้า มาพร้อมชุดเฟืองท้าย Limited-slip differential ให้มีการตอบสนองได้ดีขึ้นกว่าเดิม
ในด้านราคาจำหน่าย RC Final Edition และ RC F Final Edition ในญี่ปุ่น โดยรุ่นย่อย RC Final Edition จะมีราคาเริ่มต้นที่ 6,660,000 เยน หรือประมาณ 1.44 ล้านบาท ส่วนรุ่น RC F Final Edition จะมีราคาอยู่ที่ 13,600,000 เยน หรือประมาณ 2.94 ล้านบาท
