Lotus แบรด์รถหรูสัญชาติอังกฤษ ที่อยู่ภายใต้หลังคาบ้านของทาง Geely ยักษ์ใหญ่ของวงการยานยนต์ในประเทศจีน ได้เปิดตัว Lotus Eletre 2024 รถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบเอสยูวี ครอสโอเวอร์ คันแรกของทางค่ายโลตัส เอย่างเป็นทางการในประเทศจีน มาพร้อมไฟฟ้าที่ให้กำลัง 918 แรงม้า มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 100 kWh ชาร์จไฟเต็มวิ่งไกลกว่า 650 กม. มีให้เลือก 2 รุ่น S+ และ R+ เคาะราคาจำหน่ายระหว่าง 828,000 – 1,028,000 หยวน หรือประมาณ 4.31 – 5.36 ล้านบาท
Lotus Eletre 2024 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบเอสยูวี 5 ประตูรุ่นแรกของทางค่าย Lotus ผลิตขึ้นในโรงงานของ Geely ที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน บนแพลตฟอร์ม Electric Premium Architecture มาพร้อมโครงสร้างตัวถังที่เป็นอลูมิเนียม มีมิติตัวถังความยาว 5,103 มม. ความกว้าง 2,019 มม., ความสูง 1,630 มม. และมีระยะฐานล้ออยุ๋ที่ 3,019 มม.
ในด้านรูปลักษณ์ภายนอกถูกออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถตัวแรงของทางค่ายทั้ง Evija และ Emira ตัวรถถูกออกแบบให้มีระยะฐานล้อที่ยาวแต่ในส่วนด้านหน้าและด้านท้ายถูกออกแบบให้ดูสั้น ด้านหน้าตัวรถมากับเส้นสายที่ดูเฉียบคมตามแบบฉบับรถสปอร์ต ไฟหน้าแบบ 2 ชิ้น ด้านบนเป็นชุดไฟ DRL ที่เพรียวบาง ออกแบบให้เป็นรูปคล้ายมูมเบอแรง มาพร้อมไฟเลี้ยวแบบ Scrolling Directional Indicators
กระจังหน้าแบบแอ็คทีฟรูปทรงสามเหลี่ยม ชุดไฟส่องสว่างแบบ Matrix LED ชุดพาร์ทรอบคันทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งในส่วนสปอยเลอร์หน้า กาบข้างประตู ซู้มล้อ หลังคาดีไซน์เป็นแบบลอยตัว, มือจับเปิดประตูแบบ Pop-Up ล้ออัลลอยดีไซน์ไดนามิกขนาด 23 นิ้ว มาพร้อมคาลิปเปอร์สีเหลืองแบบ 10 พอร์ต กระจกมองข้างเป็นแบบกล้อง ในส่วนเสา D ด้านท้ายยังออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ ด้วยช่องลมรูปทรง Air blade เพื่อลดแรงต้านอากาศ
ชุดไฟท้าย LED แบบเส้นยาวเเรียวที่พาดตลอดความกว้างของตัวรถ และยังสามารถโชว์บอกสถานะขณะปลดล๊อคตัวรถ รวมไปถึงการบอกสถานะการชาร์จไฟของแบตเตอรี่ได้อีกด้วย ด้านบนหลังคาติดตั้งสปอยเลอร์บนหลังคาแบบแยกซ้ายขวาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่ง รวมทั้งยังมีสปอยเลอร์แบบพับเก็บอัตโนมัติที่อยู่บนของฝากระโปรงท้าย ที่สามารถปรับมุมยกได้ 3 ระดับ ตามโหมดการขับขี่
Lotus Eletre มาพร้อมเซ็นเซอร์ LiDAR ทั้งหมด 34 ตัว รวมถึงเซ็นเซอร์ LIDAR 4 ตัว, เซ็นเซอร์คลื่น 6 มม. เรดาร์อัลตราโซนิก 12 ตัว และกล้อง 12 ตัว มีเซ็นเซอร์ LIDAR อยู่ที่ 4 จุดของตัว Eletre ที่ด้านหน้า ด้านหลัง และแม้แต่ในซุ้มล้อ อีกทั้ง Lotus Eletre ยังมากับชิปประมวลผลแบบ Qualcomm 8155 2 ตัว
ภายในห้องโดยสารเบาะนั่งแบบแยกจำนวน 4 ตัว ปรับได้ด้วยไฟฟ้า พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นทรงหัวตัดท้ายตัดหุ้มด้วยหนังเกรดพรีเมี่ยม แผงแดชบอร์ดมากับหน้าจอแสดงข้อมูลเป็นแถบเล็กเรียวยาวขนาด 12.6 นิ้ว ตรงกลางติดตั้งหน้าจอกลางแบบสัมผัสแบบ OLED ขนาด 15.1 นิ้ว ที่สามารถปรับมุมเอียงและพับให้ราบไปกับแนวคอนโซลได้
มาพร้อมหน้าจอ HUD ที่มีขนาดใหญ่ถึง 29 นิ้ว, แท่นชาร์จมาร์ตโฟนแบบไร้สาย, เบาะนั่งคู่หลังติดตั้งคอนโซลกลางด้านหลังที่มีจอขนาด 9 นิ้วแบบสัมผัส
ชุดเครื่องเสียงจาก KEF Premium มาพร้อมลำโพงจำนวน 15 ตัว ให้กำลังขับรวมสูงสุด 1,380 W หรือจะเลือกอัปเกรดเป็น KEF Reference ที่มาพร้อมเทคโนโลยีเสียง 3 มิติ และลำโพงถึง 23 ตัว ให้กำลังขับสูงสุดถึง 2,160 W
ขุมพลังในการขับเคลื่อนใน รุ่น S+ จะมากับมอเตอร์ไฟฟ้าคู๋ที่ให้กำลัง 603 แรงม้า แรงบิด 710 นิวตันเมตร เป็นแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 258 กม./ชม.
ขณะที่ในรุ่น R+ จะมากับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่เช่นกันแต่ให้พละกำลังที่มากกว่าโดยมีกำลังมากถึง 918 แรงม้า แรงบิด 985 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 2.95 วินาที ความเร็วสูงสุด 265 กม./ชม. มาพร้อมโหมดการขับขี่ 4 โหมด ได้แก่ Range Tour, Sport, Off-Road และโหมด Individual แบบปรับแต่งเอง
ด้านแบตเตอรี่มีขนาด 100 kWh ให้ระยะทางวิ่งไกล 517 – 650 กม. ต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน CLTC
ในด้านการชาร์จไฟ รองรับการชาร์จไฟแบบ AC กำลังสูงสุด 22 kW และระบบชาร์จเร็ว DC กำลังสูงสุด 350kW ที่สามารถชาร์จเพียง 20 นาที แต่ให้ระยะทางการเดินทางได้สูงถึง 400 กิโลเมตร อีกทั้งยังมาพร้อมระบบเทคโนโลยีการชาร์จ 800V ช่วยให้สามารถวิ่งได้ 120 กม. สำหรับการชาร์จเต็มภายในเวลาเพียง 18 นาที
นอกจากนั้น Lotus Eletre ยังได้ติดตั้งระบบช่วยเหลือการขับขี่ ADAS ซึ่งอาศัยเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ LIDAR ที่สามารถเก็บซ่อนได้เมื่อไม่ใช้งาน ประกอบด้วยระบบรักษาความเร็วตามรถคันหน้าอัตโนมัติ (ACC), ระบบป้องกันการชนด้านหน้า (CMSF), ระบบช่วยประคองรถให้อยู่ในเลน (LKA+) และระบบป้องกันการชนด้านหลัง (CMSR) เป็นต้น
สำหรับราคาจำหน่าย Lotus Eletre 2024 รุ่น S+ มีราคาอยู่ที่ 828,000 หยวน หรือประมาณ 4.31 ล้านบาท ส่วนในรุ่นท็อป R+ ราคา 1,028,000 หยวน หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ราว 5.36 ล้านบาท (ราคายังไม่รวมภาษีนำเข้าจากไทย)