Mercedes-Benz เผยโฉม Mercedes-Benz GLE และ GLE Coupe รุ่นไมเนอร์เชนจ์ปรับโฉมใหม่ ที่ได้รับการปรับปรุงทั้งภายนอก ภายใน รวมทั้งเทคโนโลยี และอุปกรณ์ต่าง ๆ พร้อมเพิ่มรุ่นปลั้กอินไฮบริด ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 386 แรงม้า
ในรูปลักษณ์ภายนอกของ GLE / GLE Coupe ได้มีการปรับปรุงใหม่ ทางทีมนักออกแบบของทางเมเซอร์เดส-เบนซ์ ได้ปรับเปลี่ยนในส่วนของกระจังหน้าใหม่ ด้วยการเสริมโครเมียมแนวนอนใหม่ 2 ชิ้น พร้อมด้วยการเน้นโครเมียมแนวนอนใหม่ที่ช่องดักอากาศด้านข้าง ในส่วนของโคมชุดไฟหน้าจะมีขนาดและรูปร่างเหมือนกับรุ่นก่อนหน้า แต่ปรับรายละเอียดภายในโคมไฟใหม่ รวมถึง เส้นสายของชุดไฟ DRL ใหม่
รวมถึงชุดไฟท้ายที่ออกแบบใหม่ให้ดูโฉบเฉียวปลายเรียวแหลม โดยจะมาในรูปแบบแนวนอน แยกออกเป็น 2 ส่วนระหว่างชุดไฟเบรก และไฟเลี้ยว มาพร้อมล้ออัลลอยให้เลือก 2 ขนาดได้แก่ 19 –20 นิ้ว (ขึ้นอยู่แต่ละรุ่นย่อย) ขณะที่เฉดสีตัวถังในรุ่น GLE จะมีสีใหม่เพิ่มมาอีก 2 สีได้แก่ สีน้ำเงิน Twilight Blue และสีเทา Alpine Grey
ในขณะที่รุ่นตัวแรงอย่าง AMG Line นั้นจะมาพร้อมกระจังหน้าใหม่แบบ Panamericana ที่เป็นแบบแถบแนวตั้ง เสริมด้วยชุดแต่งเต็มจากทาง AMG กันชนถูกออกแบบใหม่ ขนาบข้างด้วยช่องระบายอากาศทรงสี่เหลี่ยม ที่ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น พร้อมกับเสริมความหรูหราด้วยชุดโครเมียม อีกทั้งยังดีไซน์ในส่วนซุ้มล้อให้เป็นสีเดียวกับตัวรถ ด้านท้ายเสริมความโหดด้วยดิฟฟิวเซอร์ AMG ปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยนขนาด 21 นิ้ว
เช่นเดียวกับภายนอก ภายในห้องโดยสารของรถ GLE / GLE Coupe ยังได้รับการปรับแต่งเพิ่มเติม โดยยังคงมากับพวงมาลัยรุ่นใหม่ล่าสุดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่มีเซ็นเซอร์แบบสัมผัส ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทั้งหน้าจอสัมผัสตรงกลางและจอแสดงผลมาตรวัดแบบดิจิทัลได้จากพวงมาลัย พร้อมตกแต่งด้วยโครเมียมบนช่องแอร์และการตกแต่งด้วยสีดำ Piano Black Flowing Lines ซึ่งก่อนหน้านี้มีเฉพาะในรุ่น Maybach เท่านั้น
อีกทั้งยังได้ติดตั้งพอร์ต USB-C เสริม 2 พอร์ตสำหรับที่พักแขนด้านหลัง ที่สามารถส่งกำลังไฟได้ 100 วัตต์ และระบบควบคุมอากาศแบบเติมพลังงาน (Energizing Air Control) ซึ่งตรวจสอบคุณภาพอากาศโดยใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับอนุภาคขนาดเล็ก และสลับระหว่างโหมดอากาศบริสุทธิ์และโหมดหมุนเวียนอากาศ
นอกจากนี้ทั้ง GLE และ GLE Coupe ได้รับระบบปฎิบัติการ MBUX เจนเนอเรชั่นที่สอง ที่มากับการอัพเดทแบบ Over The Air มาพร้อมหน้าจออินโฟเทนเมนต์ขนาด 12.3 นิ้ว ที่รองรับ Android Auto และ Apple CarPlay แบบไร้สาย มาพร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง พร้อมกับปรับปรุงในระบบเครื่องเสียงใหม่ โดยยังคงได้รับเครื่องเสียงจากทาง Burmester แต่ถูกงขยายกำลังวัตต์ให้มากถึงไปถึง 590 วัตต์ มาพร้อมลำโพง 13 ตำแหน่ง และสามารถรองรับระบบ Dolby Atmos
ในด้านพละกำลังในรุ่นปลั๊กอินไฮบริดอย่าง GLE 400e 4Matic ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ จะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ให้พละกำลัง 252 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน เมตร เมื่อทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า จะให้กำลังรวมถึง 386 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุด 649 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ภายใน 5.8 วินาที มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 23.3 kWh แต่ระยะทางการวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าเพียว ๆ ทาง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังไม่เปิดเผยตัวเลขออกมา เพียงแต่บอกว่าจะรองรับการาร์จเร็ว DC ขนาด 60 kW
ขณะที่รุ่นย่อยอื่น ๆ อย่างในรุ่น GLE 350 จะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตร ให้กำลัง 259 แรงม้า (PS), รุ่น GLE 450 ติดตั้งเครื่องยนต์ 6 สูบ 3.0 ลิตร ให้กำลัง 380 แรงม้า (PS) และ GLE 580 เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.0 ลิตร ให้กำลัง 517 แรงม้า (PS) โดยทั้งหมดนี้ล้วนแต่เสริมด้วยเทคโนโลยี Mild Hybrid 48V จาก Mercedes
ส่วนในรุ่น AMG GLE 53 และ 63 S นอกจากไดรับการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ ในด้านพละกำลังก็ยังได้รับการปรับจูนใหม่ โดยยังคงมากับเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ 3.0 ลิตร แต่ได้รับการปรับปรุงเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ใหญ่ขึ้นจากมอเตอร์ไฟฟ้า Integrated Starter Generator (ISG) ส่งผลทำให้มีแรงบิดเพิ่มขึ้นไปถึง 560 นิวตันเมตร แต่ในส่วนแรงม้ายังเทาเดิมที่ 435 แรงม้า ด้านชุดส่งกำลังยังคงทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC+
เช่นเดียวกับรุ่น 63 S 4MATIC+ ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 4.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 612 แรงม้า มาพร้อมแรงบิดที่เพิ่มขึ้นไปถึง 850 นิวตันเมตร จากการปรับปรุงเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ใหญ่
ปิดท้ายในรุ่น GLE 580 4MATIC มาพร้อมกับแพ็คเกจ Off-Road Engineering Package ที่ติดตั้งชุดยกสูงขึ้นกว่า 1.2 นิ้ว และแผ่นกันกระแทกให้กับตัวรถ มาพร้อมระบบกันสะเทือนแบบถุงลม มาพร้อมกับโหมดออฟโรดที่จะมีภาพไปยังหน้าจอเพื่อดูข้อมูลเกี่ยวกับมุมการเลี้ยว และทิศทางการบังคับเลี้ยว นอกจากนั้นยังเอาใจสายลากจูงด้วยโหมด Trailer Route Planner ที่จะช่วยกำหนดเส้นทางและหาจุดจอดที่เหมาะสมสำหรับรถพ่วงของคุณ โดยพิจารณาจากข้อมูลเกี่ยวกับน้ำหนัก ความสูง ความกว้าง และอื่นๆ
สำหรับ Mercedes-Benz GLE / GLE Coupe 2024 จะวางจำหน่ายในปี 2023 นี้ ขณะที่สนนราคาค่าตัวจะถูกประกาศออกมาอีกครั้งหนึ่งในวันที่ลงโชว์รูม
