หลังจากที่เมื่อช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา ทาง MG ประเทศไทย ประกาศปรับลดราคาจำหน่าย MG4 Electric รุ่น D ตัวถังสีส้ม Fizzy Orange (รุ่นประกอบไทย) จากปกติราคา 709,900 บาท รับส่วนลดพิเศษถึง 110,900 บาท เหลือราคาจำหน่ายที่ 599,000 บาท
ล่าสุดเปิดศักราชปี 2568 ทางบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ได้ต่อโปรโมชันพิเศษสำหรับ MG4 Electric รุ่น D ด้วยการยังคงมอบส่วนลดพิเศษ 110,900 บาท จากปกติราคา 709,900 บาท เหลือเพียง 599,000 บาท และที่สำคัญไม่เพียงลดเฉพาะตัวถังเฉดสีส้ม Fizzy Orange เท่านั้น ยังมอบส่วนลดในทุกเฉดสีของ MG4 Electric รุ่น D
พร้อมทั้งยังได้รับโปรโมชั่นแคมเปญดังนี้
- รับประกันคุณภาพตัวรถ Warranty นาน 4 ปี หรือ 120,000 กม.
- รับประกันแบตเตอรี่ High-Voltage ตลอดอายุการใช้งาน Lifetime Warranty
- ฟรี ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี
- ฟรี MG HOME CHARGER จำนวน 1 ชุด
- ฟรี ค่าติดตั้ง MG HOME CHARGER
ราคาอย่างเป็นทางการ MG4 Electric (ประกอบไทย)
- MG4 รุ่น X Standard Range ราคา 809,900 บาท
- MG4 รุ่น V Long Range ราคา 889,900 บาท
- MG4 รุ่น D Standard Range ราคา 709,900 บาท ปรับลดราคาพิเศษ 110,900 บาท บาท เหลือราคาจำหน่ายที่ 599,000 บาท
MG4 Electric รุ่น D (ประกอบไทย) จะมีเฉดสีเฉดสีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีส้ม FIZZY ORANGE, สีขาว ARCTIC WHITE, สีเทา ANDES GREY และ สีดำ BLACK KNIGHT
สำหรับ MG4 Electric เป็นรถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบ แฮทช์แบ็ค 5 ประตู โดยในรุ่น D กับรุ่นย่อยอื่น ๆ นั้นจะแตกต่างกันเล็กน้อยในส่วนของโคมไฟหน้า ตำแหน่งไฟเลี้ยว รายละเอียดของไฟท้าย และสีของหลังคา
ดีไซน์ภายนอกออกแบบจะเน้นความโฉบเฉี่ยว มาพร้อมไฟหน้า LED Galaxy Technology Matrix Headlights ขณะที่กระจังหน้ามาแบบปิดทึบตามแบบฉบับรถยนต์ไฟฟ้า โดดเด่นด้วยโลโก้ MG พร้อมติดตั้งกล้องด้านหน้า กันชนหน้าเสริมหล่อด้วยช่องรับลมที่ขอบชายล่าง
เพิ่มเสน่ห์ของความเป็นรถสปอร์ตอย่างชัดเจนด้วยเส้นสายด้านข้างที่โฉบเฉี่ยวมาพร้อมหลังคาที่ลาดเท สอดรับกับล้อแบบ Aero Wheel Cover ขนาด 17 นิ้ว รัดดด้วยางขนาด 215 / 50 R17
ด้านท้ายของ MG4 จะมากับสปอยเลอร์หลังแบบ Twin Arrow Wing เสริมด้วยไฟเบรกดวงที่ 3 ตรงกลาง ขณะที่ชุดไฟท้ายจะเป็นแบบ LED ลาย Cgynus Symbol Decorative Light ที่พาดยาวตลอดแนวด้านท้าย ที่ออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของสปอยเลอร์ชุดล่างแบบ Duck Trail
ในด้านมิติตัวตัวถังจะมีความยาว 4,287 มม. กว้าง 1,836 มม. สูง 1,516 มม. และมีระยะความยาวฐานล้อ 2,705 มม. มาพร้อม ระยะต่ำสุดจากพื้น 117 มม.
ด้านภายในห้องโดยสาร MG4 Electric รุ่น D จะออกแบบเน้นความเรียบง่าย มาพร้อมระบบฟังก์ชันการใช้งานที่เป็นสากล ไม่มีปุ่มสั่งการต่าง ๆ ให้ดูรกตา โดยเฉพาะในส่วนคอนโซลกลางที่ออกแบบให้เป็นแบบลอยตัว หรือที่ทาง MG เรียกว่า Floated Central Control Platform โดยจะถูกวางติดกับคอนโซลหน้า ซึ่งจะมีมีเพียงแป้นหมุนปรับโหมดเกียร์ กับเบรกมือไฟฟ้า และที่ชาร์ตสมาร์ตโฟนเท่านั้น
ขณะที่คอนโซลหน้าจะมากับหน้าจอ 2 ชุดโดยเป็น หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ Dual Screen แบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว และหน้าจออินโฟนเทนเมนต์แบบสัมผัสขนาด 12 นิ้ว ทำงานคู่กับระบบเชื่อมต่อ MG iSMART และรองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto มาพร้อมลำโพง 6 ตำแหน่ง และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันที่เป็นแบบหัวท้ายตัด ที่ให้อารมณ์เหมือนกับพวงมาลัยบนตัวรถแข่ง
ในส่วนเบาะที่นั่งแบบหุ้มหนังสลับผ้า ฝั่งผู้ขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง ส่วนฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง ขณะที่เบาะหลังสามารถพับเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้ในสัดส่วน 40:60
MG4 Electric ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Nebula Pure Electric Platform โดยจะได้รับการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าไว้ที่คู่ล้อหลังให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 7.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 161 กม./ชม.
จับคู่กับแบตเตอรี่ที่มีขนาดความจุ 49 kWh จัดเรียงเซลล์แบบแนวนอนและระบายความร้อนด้วยระบบ Liquid Cooling system ชาร์จไฟเต็มวิ่งได้ระยะทางไกลสุด 423 กม. (ตามมาตรฐาน NEDC)
รองรับการชาร์จไฟกระแสตรง DC สูงสุด 88kW และการชาร์จแบบเร็ว หรือ Quick charge จาก 10% – 80% ในเวลาเพียง 35 นาที พร้อมเปลี่ยนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายนอกรถด้วยระบบ V2L
มาพร้อมระบบ KERS ที่ช่วยชาร์จพลังงานกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ในขณะชะลอรถถึง 4 ระดับ ได้แก่ ระดับต่ำ, กลาง, สูง และ แบบแปรผันตามการขับขี่ (ADAPTIVE) เพื่อให้เข้ากับการขับขี่ในทุกรูปแบบ ผสมผสานกับการกระจายน้ำหนักแบบสมมาตรที่ 50:50
อีกทั้งยังมีตัวถังมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ (LOW CENTRE OF GRAVITY) ด้านระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังอิสระแบบ 5-Link Suspension
มาพร้อมระบบความปลอดภัย ADVANCED SYNCHRONIZE PROTECTION SYSTEM ถึง 26 ระบบ ครอบคลุมทั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ ADAS อาทิ ระบบช่วยเตือนอุบัติเหตุจากมุมอับสายตา และระบบช่วยควบคุมการขับขี่, ระบบช่วยเบรกขณะถอย, ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i–SMART ไม่ว่าจะเป็น ระบบตรวจเช็กอัจฉริยะ Smart Check ที่ตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่และการชาร์จ ไปจนถึงการค้นหาสถานีชาร์จ และฟีเจอร์ Battery Doctor บนแอปพลิเคชัน MG Thailand เพื่อวิเคราะห์และแนะนำการใช้งานพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลรักษาแบตเตอรี่