หลังจากที่ทางแบรนด์ Denza ที่เป็นรถในสังกัดของทาง BYD ได้เปิดตัว Denza N7 ครอสโอเวอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ออกมาเมื่อเดือน พ.ค. ปี 2024 และได้ถูกนำมาโชว์ตัวในประเทศไทยแล้ว ในงาน Motor Expo 2024 เมื่อปลายปี 2568 ซึ่งมีก็มีข่าว แวว ๆ ว่าอาจมีลุ้นที่จะถูกนำเข้ามาวางจำหน่ายในตลาดเมืองไทยเร็ว ๆ นี้
แต่ล่าสุดในประเทศจีนบ้านเกิด Denza N7 ได้รับการปรับปรุง และอัปเกรดใหม่ ด้วยการเพิ่มระบบขับขี่อัจฉริยะ God’s Eye ที่ทางบีวายดี ได้ประกาศไว้ว่าระบบขับขี่อัจฉริยใหม่นี้ จะได้รับการติดตั้งในรถทุกรุ่นของค่ายที่ประเทศจีน โดย Denza N7 โฉมปี 2025 นี้จะมากับ God’s Eye B ที่ทำงานร่วมกันกับ DiPilot 300 และประมวลผลผ่านระบบ 300 TOPS
สำหรับ Denza N7 โฉมปี 2025 ใหม่ที่ถูกวางจำหน่ายในตลาดเมืองจีนจะมีให้เลือก 3 รุ่นย่อยด้วยกันจากเดิมที่มี 6 รุ่น โดยทางบีวายดี เปิดราคาจำหน่ายไว้ระหว่าง 259,800 – 289,800 หยวน หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 1.2 – 1.34 ล้านบาท
ในด้านงานออกแบบดีไซน์นั้นยังคงเเดิม ตัวรถยังมาในรูปแบบครอสโอเวอร์ไฟฟ้าแบบ Fastback Coupe มาพร้อมกับการเพิ่มสีใหม่ ที่เป้นสีม่วง Aurora Purple (รุ่นจำกัดจำนวน) ในขณะที่สีขาวและสีทองรุ่นก่อนหน้าถูกยกเลิกไป
ตัวรถเน้นการออกแบบเรียบหรู ด้วยกระจังหน้าแบบปิด ชุดไฟหน้าแบบแยกส่วนโดยด้านบนเป็นชุดไฟส่องสว่าง ส่วนด้านล่างเป็นแถบไฟ DRL ที่มาในรูปแบบ Diamond Arrow มาพร้อมเซ็นเซอร์ LiDAR ที่กันชนหน้า
ด้านข้างเรียบหรูด้วยมือเปิดประตูแบบซ่อน และเส้นโครเมียมที่วางพาดอยู่ที่กรอยกระจกบานข้าง มาพร้อมล้ออัลลอย ทูโทน ที่ออกแบบลวดลายให้ตรงตามหลักแอร์โร่ไดนามิคที่มีขนาด 19 นิ้ว
ด้านท้ายติดตั้งสปอยเลอร์หลังขนาดเล็กทันสมัย ชุดไฟท้าย LED แบบเรียวเล็กที่วาวพาดยาวเต็มพื้นที่ แบบลากเชื่อมทั้งสองฝั่ง เติมความดุดันที่กันชนท้ายด้วยดิวฟิวเซอร์สีเงินขนาดใหญ่
ในด้านขนาดมิติตัวรถมีความยาวอยู่ที่ 4,860 มม., กว้าง 1,935 มม., สูง 1602 มม. และมีระยะฐานล้อ 2,940 มม.
พร้อมกับได้รับการติดตั้งเซ็นเซอร์ 33 ตัวรอบตัวรถ มาพร้อม LiDAR แบบคู่ , เรดาร์คลื่นมิลลิเมตร, ชิป NVIDIA Orin และกล้อง 8 เมกะพิกเซลสองตัว
รวมทั้งยังได้รับการติดตั้งระบบขับขี่อัจฉริยะ God’s Eye B ของ BYD ที่ทำงานร่วมกันกับ DiPilot 300 และประมวลผลผ่านระบบ 300 TOPS เพื่อรองรับการนำทางในเมืองอัจฉริยะ การนำทางความเร็วสูง และระบบช่วยจอดรถ
ภายในห้องโดยสารก็ยังเหมือนเดิมทั้งหมดแผงแดชบอร์ดติดตั้งหน้าจอถึง 3 จอ อันประกอบไปด้วย แผงหน้าปัด LCD ขนาด 10.25 นิ้ว และหน้าจออินโฟเทนเมนต์ฝั่งผู้โดยสารที่มีขนาด 10.25 นิ้ว ส่วนหน้าจอควบคุมส่วนกลางจะมีขนาดใหญ่ 17.3 นิ้ว ที่ถูกวางแบบลอยตัว รองรับระบบ Harmony OS ของทางของ Huawei มาพร้อมระบบผู้ช่วยแบบ AI นอกจากนั้ยังได้รับหน้าจอแสดงผล AR-HUD ขนาด 50 นิ้ว ที่สะท้อนขึ้นไปยังกระจกบังลมหน้าอีกด้วย
เบาะที่นั่งจะเป็นแบบ 5D-sensing ergonomic ที่ปรับด้วยไฟฟ้า มาพร้อมระบบทำความร้อน / ระบบระบายอากาศ และฟังก์ชันการนวด ตัวเบาะจะถูกหุ้มด้วยหนัง NAPPA โดยเบาะด้านหลังจะมากับหน้าจอขนาด 7 นิ้ว ที่ไว้ควบคุมสั่งงาน
คอนโซลกลางถูกออกแบบให้เชื่อต่อกับคอนโซลหน้าในลักษณะสะพาน ด้านบนจะมีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่โดยจะประกอบไปด้วย หัวคันเกียร์ไฟฟ้าเป็นแบบแก้วคริสตัล มาพร้อมแท่นชาร์จสมาร์ตโฟนที่ชาร์จพร้อมกันได้ถึง 2 เครื่องให้กำลังไฟในการชาร์จ 50W และที่วางแก้วน่ำ 2 ช่อง ส่วนด้านล่างจะเป็นช่องวางสำหรับวางของมาพร้อมพอร์ต USB-C
ขณะที่ชุดอุปกรณ์ภายในจะได้รับระบบเสียงจาก Devialet พร้อมลำโพง 16 ตำแหน่ง, ชุดไฟ Ambient Light 128 สี, หลังคาซันรูฟไฟฟ้าขนาด ขนาด 1.93 ตร.ม. รวมถึงพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหน้า สามารถใส่กระเป๋าเดินทางขนาด 20 นิ้วได้อย่างสบาย
Denza N7 จะถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม e-platform 3.0 โดยจะมีให้เลือกทั้งแบบมอเตอร์ไฟฟ้าตัวเดียวที่ให้กำลัง 230 kW (308 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร และแบบมอเตอ์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อน 4 ล้อให้กำลัง 390 kW (523 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 670 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.9 วินาที
ขณะที่ชุดแบตเตอรี่จะมากับเทคโนโลยี CTB โดยทั้ง 2 รุ่นจะะมีขนาดความจุของแบตเตอรี่ 91.392 kWh โดยในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ จะให้ระยะทางการวิ่งที่ไกลถึง 702 กม. ส่วนในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ เมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็มจะวิ่งได้ 630 กม. (ตามมาตราฐาน CLTC)
อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี 800V ที่สามารถชาร์จไฟ 15 นาที จะให้ระยะการวิ่งได้ไกลถึง 350 กม. และยังได้รับการติตดั้งระบบ V2L ที่ปล่อยกระแสไฟไปยังชุดอุปกรณืภายนอก ขณะที่ระะบบช่วงล่างจะมาพร้อมกับระบบกันสะเทือนแบบถุงลม
Denza N7 MY2025 จะมีให้เลือก 3 รุ่นย่อยเปิดราคาจำหน่ายไว้ระหว่าง 259,800 – 289,800 หยวน หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 1.2 – 1.34 ล้านบาท