Lynk & Co แบรนด์รถที่เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Geely และ ZEEKR ได้เปิดตัวประกาศราคาจำหน่าย Lynk & Co 900 รถ SUV รุ่นแฟลกชิพใหม่ ที่มากับขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด เคาะราคาจำหน้่ายเริ่มที่ 289,900 หยวนหรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 1.32 ล้านบาท
สำหรับ Lynk & Co 900 จะเข้ามาเป็นรถเอสยูวีขนาดฟูลไซส์ ในกลุ่มพรีเมียม และที่สำคัญจะเป็นรถเอสยูวีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ทาง ลิงค์ แอนด์ โค เคยมีมา
โดย Lynk & Co 900 ถูกพัฒนาขึ้นบนแพลทฟอร์ม SPA หรือ Volvo Scalable Product Architecture มีขนาดความยาวอยู่ที่ 5,240 มม. กว้าง 1,999 มม. สูง 1,810 มม. และมีระยะฐานล้ออยู่ที่ 3,160 มม. ขณะที่น้ำหนักตัวรถจะอยูี่ที่ระหว่าง 2660 – 2820 กก. (ขึ้นอยู่แต่ละรุ่นย่อย)
ในด้านงานออกแบบภายนอกของตัวรถจะมากับดีไซน์ที่ล้ำสมัย มาพร้อมแนวคิดการออกแบบที่เรียกว่า “The Next Day” ที่เน้นความสมมาตร และโครงสร้างที่มีมิติ ด้านหน้าจะมาในแบบปิดทึบ มาพร้อมชุดไฟหน้าแบบแยกส่วน โดยจะมากับชุดไฟ DRL ที่มาในแบบแนวตั้งคู่บนฝากระโปรงหน้า
อีกทั้งยังได้รับการติดตั้งแถบไฟ LED ไว้ที่ด้านหน้าจำนวน 10,192 ดวง ที่ควบคุมความเข้มได้ถึง 32 ระดับ โดยจะสามารถสื่อสาร และโต้ตอบกับผู้คนที่อยู่ด้านนอกได้ โดยมีโหมดการแสดงผลหลากหลาย เช่น ไฟต้อนรับ / ไฟขับขี่ และไฟจอดรถ พร้อมรองรับการตั้งค่าเอง เช่น การเขียนข้อความ หรือวาดภาพ
นอกจากนั้นในส่วนตัวกันชนหน้ายังจะมากับช่องดักอากาศที่เป็นแบบแอคทีฟ ที่จะเปิด – ปิดตามความเร็วของตัวรถ
ด้านข้างตัวรถในส่วนกระจกมองข้างออกแบบให้มีขาตั้งที่ดูแปลกตาโดยจะยื่นติดอยู่ที่ด้านข้างตัวรถพร้อมติดชื่อแบรนด์ Lynk & Co ขณะที่เส้นสายด้านข้างออกแบบให้มีความลู่ลม มือเปิดประตูเป็นแบบราบเรียบไปกับตัวรถ มาพร้อมฟังก์ชันเปิดอัตโนมัติและป้องกันน้ำแข็ง ด้านล้ออัลลอยมาในแบบทูโทนที่มีขนาด 20 และ 21 นิ้ว (ขึ้นอยู่แต่ละรุ่นย่อย) มาพร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีแดง 4 ลูกสูบ ที่ด้านใน
ส่วนที่ด้านท้ายติดตั้งก็จะเหมือนกับด้าหน้าที่ติดตั้งแถบชุดไฟท้าย LED ที่สามารถสื่อสารกับผู้คนภายนอก โดยจะมีชุดหลอดไฟ LED จำนวน 8 แถวที่มากถึง 2,400 ดวง ที่ควบคุมแยกแต่ละดวง รองรับการแสดงผลแบบกำหนดเอง
อีกทั้งยังติดตั้งฝาท้ายแบบเปิดได้สองชั้น ที่รองรับน้ำหนักได้ 300 กก. รวมทั้งในส่วนของหลังค่มาพร้อมกับรางบรรทุกสัมภาระที่ซ่อนอยู่ ซึ่งสามารถรองรับน้ำหนักสูงสุดได้ถึง 300 กก.สำหรับงานออกแบบตัวรถทางลิงค์ แอนด์ โค เผยว่าจะมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ เพียง 0.291 Cd
ภายในห้องโดยสารจะมาในแบบ 3 แถว 6 ที่นั่ง (2+2+2) งานออกแบบจะเน้นความกว้างขวางนั่งสบาย โดยจะมีขนาดกว้างถึง 6.16 ตารางเมตร และมีความสูงของห้องโดยสารถึง 1.293 เมตร
โดยเบาะแถว 2 เป็นแบบ Captain Seat ที่ปรับเลื่อนระยะได้สูงสุด 550 มม. ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 สามารถเลื่อนไปข้างหน้าและถอยหลังได้ 125 มม.
นอกจากนี้ทางผู้ผลิตยังเผยว่า Lynk & Co 900 จะเป็นรถ SUV รุ่นแรกของโลก ที่ติดตั้งเบาะนั่งที่ปรับด้วยไฟฟ้าแบบ 180 องศาทั้ง 2 เบาะ ส่วนแถวที่ 2 รองรับการหมุนได้ถึง 180°/90°
ด้านงานตกแต่งจะมากับวัสดุคุณภาพสูง อาทิ ผ้ากำมะหยี่สังเคราะห์, หนัง Nappa, และวัสดุ PVD ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉดสีภายในห้องโดยสารจะมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาว Sunlight Rice , สีส้ม Cabernef และสีดำ Starry Night Blue ซึ่งสื่อถึงเวลาเช้า กลางวัน และกลางคืน
ในส่วนของแผงแดชบอร์ดจะมากับหน้าจอขนาดยักษ์ถึง 30 นิ้ว ที่มีความละเอียดในระดับ 6K แยกเป็นจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ และจอระบบเอนเตอร์เทนเมนท์สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า อีกทั้งยังได้รับหน้าจอ HUD ขนาด 95 นิ้ว และแผงหน้าปัด LCD สำหรับแสดงข้อมูลสำคัญขณะขับขี่ขนาด 12.66 นิ้ว ที่วางอยู่ด้านหลังพวลมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสองก้าน
โดยทั้งหมดจะถูกควบคุมด้วยชิป Qualcomm Snapdragon 8295 จำนวน 2 ตัว และระบบปฏิบัติการ Lynk Flyme Auto อีกทั้งยังได้รับการติดตั้งจอเพดานขนาด 30 นิ้ว สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ที่มีความละเอียดคมชัดระดับ 6K
ด้านคอนโซลกลางถูกออกแบบให้มีพื้นที่ขนาดใหญ่ โดยจะมากับแท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สายที่ให้กำลังชาร์จไฟ 50W ที่มาให้ 2 ช่อง อีกทั้งยังได้รับตู้แช่ควบคุมอุณหภูมิ ที่สามารถปรับอุณหภูมิต่ำสุด -6 °C และสูงสุด 50 °C, พอร์ท USB, ระบบเครื่องเสียง Harman Kardon
นอกจากนั้นยังออกแบบให้มีช่องเก็บเล็ก ๆ น้อย ๆ กระจายตามจุดต่าง ๆ รอบห้องโดยสารที่มามากถึง 42 ตำแหน่ง ขณะพื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้ายมีจะมีความจุ 300 ลิตร เสริมด้วยพื้นที่เก็บของใต้พื้นอีก 20 ลิตร
ในด้านระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือการขับขี่จะมากับเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ SPA EVO รองรับการติดตั้งฮาร์ดแวร์ และระบบขับขี่อัตโนมัติขั้นสูง ADAS โดยจะมากับเซนเซอร์ LiDAR ไว้ที่บนหลังคาด้านหน้า กล้องรอบคัน 11 ตัว, เรดาร์คลื่นมิลลิเมตร 5 ตัว และเรดาร์อัลตราโซนิก 12 ตัว โดยในรุ่นเริ่มต้นจะากับระบบ G-Pilot H5 ที่ขับเคลื่อนด้วยชิป NVIDIA Drive Orin-X 2ตัว ส่วนในรุ่นท๊อปจะใช้ระบบ G-Pilot H7 พร้อมโปรเซสเซอร์ Nvidia Drive Thor ตัวเดียว
ซึ่งโซลูชันนี้จะรองรับความสามารถต่างๆ เช่น การหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง, นำทางด้วยระบบอัตโนมัติ (NOA) ในเมืองแบบไร้แผนที่, การนำทางความเร็วสูง และการจอดรถระยะไกล
ในด้านระบบขับเคลื่อนของ Lynk & Co 900 จะมากับระบบปลั๊กอินไฮบริด ที่มีให้เลือก 3 รูปแบบ
- รุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลัง 140 kW (188 แรงม้า) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ มอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้าให้กำลัง 160 kW (215 แรงม้า) และมอเตอร์ไฟฟ้าที่อยู่เพลาคู่ล้อหลังให้กำลัง 230 kW (308 แรงม้า) ให้กำลังรวม 530 kW (711 แรงม้า) จับคู่กับแบตเตอรี่ NMC ขนาด 44.85 kWh วิ่งในโหมด EV ได้ระยะทาง 220 กม. (CLTC) และวิ่งครอบคลุมระยะทางไกล 1,355 กม. เมื่อแบตเตอรี่ชาร์จไฟเต็ม+ น้ำมันเต็มถัง
- รุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ให้กำลัง 187 kW (251 แรงม้า) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว มอเตอร์ไฟฟ้าที่เพลสล้อหน้าให้กำลัง 123 kW (165 แรงม้า) มอเตอร์ไฟฟ้าที่ค฿าล้อหลังให้กำลัง 230 kW (308 แรงม้า) ให้พละกำลังรวม 540 kW (724 แรงม้า) มาพร้อมแบตเตอรี่ NMC ขนาด 52.38 kWh วิ่งในโหมดไฟฟ้าล้สนได้ระยะทาง 280 กม. (CLTC) และวิ่งครอบคลุมระยะทางไกล 1,350 กม. เมื่อแบตเตอรี่ชาร์จไฟเต็ม+ น้ำมันเต็มถัง
- รุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว มอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้ามีกำลังสูงสุด 123 kW (165 แรงม้า) ส่วนที่คู่ล้อหลังติตดั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้กำลัง 340 kW (456 แรงม้า) ให้กำลังรวมทั้งระบบ 650 kW (872 แรงม้า) โดยในรีุ่นท๊อปสุดนี้รุ่นท็อปจะมีอัตราเร่งจาก 0- 100 กม./ชม. ในเวลา 4.3 วินาที จับคู่กับแบตเตอรี่ NMC ขนาด 52.38 kWh วิ่งในโหมดไฟฟ้าล้สนได้ระยะทาง 268 กม. (CLTC) และวิ่งครอบคลุมระยะทางไกล 11,443 กม. เมื่อแบตเตอรี่ชาร์จไฟเต็ม+ น้ำมันเต็มถัง พร้อมรองรับการชาร์จไฟแบบ DC ที่ให้กำลังไฟจาก 20% – 80% ในวลาเพียง 17 นาที
ระบบช่วงล่างในทุกรุ่นย่อยจะมากับระบบกันสะเทือนแบบถุงลม พร้อมระบบ Continuous Damping Control (CDC) ช่วยตรวจสอบและลดการสั่นสะเทือนแบบต่อเนื่อง และฟังก์ชั่นสลับการทำงานระหว่างถุงลมแบบ Single chamber หรือ Dual chamber ตามสถานการณ์ในการขับ เสริมด้วยระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง
Lynk & Co 900 จะให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีดำ Polar Night Black, สีเทา Cloud Ash, สีน้ำเงิน Morning Blue, สีขาว Dawn White และสีเงิน Sun Silver
ส่วนราคาจำหน่ายในจีนนั้นจะมีให้เลือก 4 รุ่นย่อย เปิดราคาอยู่ระหว่าง 309,900 – 416,900 หยวน หรือคิดเป็นเงินไำทยอยู๋ที่ประมาณ 1.41 – 1.9 ล้านบาท แต่ลูกค้าชาวจีนสามารถซื้อรถยนต์รุ่นนี้ได้ในราคาลดพิเศษ โดยจะมีราคาจำหน่ายในท้องตลาดเมืองจีนอยู่ที่ระหว่าง 289,900 – 396,900 หยวน หรือราว ๆ 1.32 – 1.81 ล้านบาท
ขณะที่ในบ้านเรานั้นก็มีลุ้นที่ทาง ZEEKR ประเทศไทยจะนำเจ้า Lynk & Co 900 เข้ามาทำตลาดในไทย เร็ว ๆ วันนี้ ส่วนจะเป็นช่วงไหน เวลาใดต้องติดตามกันให้ดี
ซึ่งหากมีข้อมูลเพิ่มเติมออกมาอย่างไรทางทีมงาน Autostation.com จะรีบนำรายงานให้เพื่อน ๆ ได้ทราบอีกครั้งโดยทันที