in , , ,

Nissan Serena (C27) ขุมพลัง Hybrid 2.0 จ่อเปิดตัวในไทย พ.ย. นี้

Nissan Serena (C27) เอ็มพีวี 3 แถว 7 ที่นั่ง ขุมพลัง Hybrid 2.0 ลิตร พร้อมเปิดตัวในไทย พฤศจิกายน 2567 นี้ นำเข้ามาจากมาเลเซีย คาดราคาเริ่มอยู่ที่ 1 ล้านกลาง ๆ ส่วนเจนฯ ใหม่ ขุมพลัง e-Power คาดตามมาในปีหน้า

Nissan Serena S-Hybrid

หลังจากมีกระแสข่าวออกมาเป็นระยะ ๆ ว่าทาง นิสสัน ประเทศไทยเตรียมที่จะนำเข้า Nissan Serena เข้ามาจำหน่ายในตลาดเมืองไทย ล่าสุดค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าทาง Nissan เตรียมที่จะนำ Serena รถเอ็มพีวีแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง เข้ามาทำตลาดในไทยโดยเตรียมที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายนนี้ 

Nissan Serena S-Hybrid 2024

สำหรับ Nissan Serena MPV 7 ที่นั่ง ที่จะนำเข้ามาในไทยรุ่นนี้จะเป็น เจนเนอเรชันที่ 5 รหัส C27 หรือโฉมเก่า ที่มากับขุมพลัง Hybrid 2.0 ที่ยังมีวางจำหน่ายในบางประเทศ ขณะที่ Nissan Serena จนเนอเรชั่นใหม่ C28 ที่มีวางจำหน่ายในญี่ปุ่นนั้น คาดว่าจะตามมาในปี 2568 หรือในปีหน้า

 Nissan Serena S-Hybrid

ในด้านงานออกแบบดีไซน์ ด้านหน้าจะมากับกระจังหน้าโครเมียม V-Motion อันโดดเด่น ขนาบข้างด้วยชุดไฟหน้า LED แบบ 2 ชั้น โดยมีชุดไฟตัดหมอกที่อยู่ในกรอบทรงตัว L วางอยู่ที่ชายด้านล่าง

 Nissan Serena S-Hybrid

 Nissan Serena S-Hybrid

Nissan Serena S-Hybrid

ด้านข้างตัวรถมากับเส้นสายที่ให้ความพริ้วไหว ประตูคู่บานหลังเปิดแบบสไลด์ทั้ง 2 ฝั่ง มาพร้อมระบบ Kick Sensor มาพร้อมล้อออัอลลอยลาย Diamond Black สีดำ ขนาด 15 -16 นิ้ว 

 Nissan Serena S-Hybrid

นอกจากนั้นตัวรถยังมาในแบบทูโทนโดยตั้งแต่เสา A ไปจนถึงเสา D ด้านท้าย รวมทั้งหลังคาจะมาในเฉดสีดำ อีกทั้งในส่วนกระจกมองข้างก็ตกแต่งด้วยเฉดสีดำ

 Nissan Serena S-Hybrid

 Nissan Serena S-Hybrid

ด้านท้ายติดตั้งไฟท้าย LED รูปตัว S เพิ่มความดุดันด้วยการตกตแต่งกันชนหลังด้วยแถบสีดำเงา ที่เป็นรูปตัว L 

นอกจากนั้นในส่วนของฝาประตูท้ายยังเปิดได้ทั้งแบบครึ่ง และแบบเต็มบาน ที่ช่วยเพื่อความสะดวกสบายในการขนของ

 Nissan Serena S-Hybrid

ด้านมิติตัวรถ จะมีความยาว 4,770 มม. กว้าง 1,740 มม. สูง 1,865 มม. และมีระยะฐานล้อที่ยาว 2,860 มม.

 Nissan Serena S-Hybrid

Nissan Serena S-Hybrid

 Nissan Serena S-Hybrid

ภายในห้องโดยสารจะเป็นแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง โดดเด่นด้วยพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง ทั้งในส่วนของผู้โดยสารตอนหน้า และผู้โดยสารตอนหลัง พร้อมตกแต่งด้วยวัสดุพรีเมียม โดยจะมีให้เเลือกทั้งสีดำตาลเข้ม, ทูโทนดำ-เทา, ดำเข้ม และสีเบจ เบาะที่นั่งหุ้มด้วยหนัง NAPPA รวมทั้งยังมีแบบผ้าเป็นอีกตัวเลือก อีกทั้งตัวเบาะยังมาในแบบ Zero-Gravity ที่ช่วยเพิ่มความสบาย เบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถเลื่อนได้ถึง 900 มม. 

 Nissan Serena S-Hybrid

Nissan Serena S-Hybrid

Nissan Serena S-Hybrid

ด้านแผงคอนโซหน้าจะมากับหน้าจอมาตรวัดแบบ Digital TFT ขนาด 7 นิ้ว โดยมีพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันทรงกลมหุ้มด้วยหนังวางอยุ่ด้านหน้า ต่รงกลางแผงแดชบอร์ดจะมากับหน้าจออินโฟเทนเมนท์ขนาด 9 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อกับทั้ง Apple CarPlay™ และ Android Auto™

 Nissan Serena S-Hybrid

Nissan Serena S-Hybrid

รวมทั้งยังออกแบบให้มีช่องวางของ/ ขวดน้ำ และมีช่องเก็บสัมภาระกระจายตามจุดต่างรอบห้องโดยสาร  นอกจากนั้นยังพอร์ทชาร์จไฟแบบ USB ติดตั้งไว้ทั้งด้านหน้า และสำหรับผู้โดยสาารตอนหลัง 

Nissan Serena S-Hybrid

Nissan Serena S-Hybrid

Nissan Serena S-Hybrid

โดยในส่วนด้านหน้าจะอยู่ทั้งที่คอนโซลกลาง และด้านหลังพวงมาลัย ซึ่งจะซ่อนอยู่ โดยเมื่อเปิดเมื่อเปิดช่องที่ด้านล่างหน้าจอมาตรวัดก็จะเป็นช่องวางของที่มีพอร์ทชาร์จไฟมาให้

Nissan Serena S-Hybrid

Nissan Serena S-Hybrid

ในด้านพละกำลังขับเคลื่อนจะมากับขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร รุ่น MR20DD Mild Hybrid ที่สูงถึง 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า SM 24 ให้กำลัง 2.6 แรงม้า แรงบิด 48 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT

Nissan Serena S-Hybrid

ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังทอร์ชันบีม มาพร้อมระบบเบรกแบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ 

Nissan Serena S-Hybrid

Nissan Serena S-Hybrid

Nissan Serena S-Hybrid

Nissan Serena S-Hybrid

ในด้านระบบความปลอดภัยจะมากับระบบ 360° Safety Shield ของ Nissan อาทิ ระบบเตือนการออกนอกเลน,ระบบเตือนการจราจรขณะถอยหลัง, ระบบการแจ้งเตือนผู้ขับขี่อัจฉริยะเมื่อเกิดความเหนื่อยล้าหรือขาดสมาธิของผู้ขับขี่, ระบบเตือนการชนด้านหน้าอัจฉริยะและระบบเบรกฉุกเฉินด้านหน้าอัจฉริยะ, จอภาพอัจฉริยะรอบทิศทางพร้อมระบบตรวจจับวัตถุเคลื่อนไหว, ระบบเตือนจุดบอด, ระบบเตือนการออกนอกเลน และระบบเตือนการจราจรขณะถอยหลัง เป็นต้น 

Nissan Serena S-Hybrid

สำหรับ Nissan Serena S-Hybrid ที่จะเปิดตัว และนำเข้ามาจำหน่ายในไทย จะเป็นการนำเข้ามาจากประเทศมาเลเซีย โดยจะได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายนนี้ ด้านราคาจำหน่ายในมาเลเซียนั้นจะเปิดราคาจำหน่ายอยู๋ที่ 149,888 – 163,888 ริงกิต หรือราว ๆ 1.16  – 1.27 ล้านบาท ขณะที่ถ้าเข้า่มาจำหน่ายในไทย คาดจะมีราคาสูงขึ้นเล็กน้อยจากค่าขนส่ง ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.3 ล้านบาท