หลังจากที่ทาง Honda ประเทศไทย ได้เปิดเซกเมนต์รถยนต์ใหม่ในตลาดเมืองไทย ที่มาในรูปแบบ Sub Compact SUV ด้วยการเผยโฉม Honda WR-V รถเอสยูวีอเนกประสงค์ขนาดเล็ก 5 ที่นั่ง เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม โดยชูจุดแข็งในเรื่องของดีไซน์สปอร์ต โฉบเฉี่ยวทันสมัย ผสานความแกร่งในสไตล์เอสยูวี โดยจากฝีมืองานออกแบบจากทีมงานคนไทยโดยทาง Honda R&D Thailand ทั้งหมด ก่อนที่จะส่งไปให้ทางประเทศอินโดนีเซียเป็นฝ่ายประกอบ
นอกจากนั้นยังสร้างความฮือฮาด้วยการเปิดราคาจำหน่ายอออกมาในราคาตัวเริ่มต้นที่ 7.99 แสนบาท ส่วนในรุ่นท๊อป RS มีราคาอยู่ที่ 8.69 แสนบาท ซึ่งมองโดยรวมจากเหตุผลหลาย ๆ ประการ รวมทั้งเทียบกับราคาจำหน่ายในอินโดนีเซีย ซึ่งมีราคาต่างกันเกือบแสนกว่าบาท (ในรุ่นเริ่มต้น) ในเมื่อชุดออปชั่น และชุดอุปกณ์ต่าง ๆ นั้นแทบจะไม่แตกต่างกันเท่าไหร่
ดังนั้นเพื่อให้ได้คำตอบว่าทำไหมทางฮอนด้าจึงได้ตั้งสนนราคาค่าตัวไว้ถึงระดับนี้ ทางทีมงาน Autostation.com เราจะไปหาคำตอบเหล่านั้นมาแจกแจงให้ทราบกัน
โดยที่ทางฮอนด้าได้เชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมทำการทดสอบสมรรถนะของ Honda WR-V หลังจากเปิดตัวเพียงไม่กี่วัน
สำหรับการการทดสอบครั้งนี้ทาง บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้ใช้เส้นทางแบบใช้งานจริง ทดลองจริง บนถนนบางนา-ตราด (ทางหลวงหมายเลข 34) กรุงเทพฯ-บางแสน โดยไม้ให้ใช้ถนนเส้นลอยฟ้าหรือบูรพาวิถีแต่อย่างใด ให้วิ่งจริง ใช้งานจริง บนถนนที่จัดว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางโหดของ กทม. เพื่อเค้นสมรรถนะ และความสามารถของเจ้า Honda WR-V ออกมาได้อย่างแท้จริงแบบจัดเต็ม
ดีไซน์ภายนอกหล่อสปอร์ต โฉบเฉี่ยวทันสมัย ด้วยงานออกแบบโดยคนไทย
ซึ่งก่อนเริ่มจากการทดสอบ เราไปทำความรู้จักกันกับ Honda WR-V กันก่อน โดย WR-V เป็นรถ SUV ขนาดเล็ก มีมิติตัวรถมีขนาดความยาว 4,060 มม. และกว้าง 1,780 มม., สูง 1,608 มม. และมีระยะฐานล้อ 2,485 มม. อีกทั้งยังออกแบบให้ตัวรถมี Ground Clearance หรือมีระยะห่างจากพื้นสูงถึง 220 มม. ซึ่งสูงเทียบเท่ากับรถครอสโอเวอร์ระดับกลาง
ในด้านงานดีไซน์ตัวรถจะเป็นการรวบรวมดีเทลรายละเอียดของฮอนด้าแต่ละรุ่นมารวมไว้ในคันเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยม Mesh Grille ที่มีความคล้ายกับ HR-V
ขนาบข้างด้วยชุดไฟหน้าแบบ LED ดีไซน์โฉบเฉี่ยว มาพร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED และสัญญาณไฟเลี้ยวแบบ Sequential ชุดไฟตัดหมอกถูกแยกออกมาอยู่ในกรอบสีดำ ขณะที่สเกิร์ตชายล่างนั้นก็มี DNA มาจาก Honda City พร้อมเสริมมาดให้เป็นรถสายลุยด้วยแผ่นกันกระแทกโครเมียมใต้ห้องเครื่อง
ด้านข้างบริเวณซุ้มล้อตกแต่งด้วยวัสดุสีดำ มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ในส่วนฝาครอบกระจกมองข้างจะมีทั้งสีเดียวกับตัวรถ และสีดำในรุ่น Top รวมถึงหลังคาสีดำ ขณะที่แล็ดหลังคาจะเป็นสีดำในทุกรุ่นย่อย
ภายในเรียบง่าย ไม่ค่อยหวือหวา
ภายในห้องโดยสารเรียกว่ายกดีเทลรายละเอียดมาจาก BR-V ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว, หน้าจออินโฟรเทนเมนต์ขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ Smartphone
เบาะที่นั่งมารูปทรงสปอร์ต หุ้มด้วยวัสดุผ้าสลับหนังสีดำเย็บ และเดินจะเข็บด้วยด้ายสีแดง (ในรุ่น RS) เบาะด้านหลังสามารถปรับพับแยกแบบ 60:40 มาพร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายที่มีความจุ 380 ลิตร
ในด้านชุดอุปกรณ์ภายในที่ได้รับการติดตั้ง อาทิ เครื่องเสียงพร้อมลำโพง 6 ตำแหน่ง, เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ, กระจกมองข้างแบบพับอัตโนมัติ, ช่องเสียบ Power Outlet ที่มีให้ 2 ตำแหน่งทั้งด้านหน้าและด้านหลัง, ช่องเสียบ USB 2 ช่อง และปุ่ม Push Start
ขุมพลังยกมาจากตัว BRV ที่เน้นประหยัด
ขุมพลังจะเป็นบล็อกเดียวกับในตัว BRV ที่เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 121 แรงม้า ที่ 6,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 145 นิวตันเมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 สปีดไปยังคู่ล้อหน้า รองรับพลังงานทางเลือก E20
เข้าโหมดทดลอง แบบใช้งานจริง บนถนนจริง
หลังจากรับรู้รายละเอียดบางส่วนของตัวรถ ทั้งภายนอก และภายในของ Honda WR-V กันไปบางแล้ว ถึงเวลาเข้าโหมดทดสอบสมรรถนะ โดยในการทดลองขับอย่างที่เกริ่นไป แล้วข้างต้นว่าเราใช้เส้นทางบนถนนบางนา-ตราด เส้นทางด้านล่าง มุ่งหน้าสู่อ่างศิลา ก่อนย้อนหลับเข้า กทม. โดยใช้เส้นทางบางปู แล้วมาสิ้นสุดที่ SOCO Work @ Summer Lalle ที่ซอยลาซาล สุขุมวิท 105 ซึ่งจะมีระยะทางไป- กลับอยู่ที่ประมาณ 211 กม. ซึ่งเป็นระยะที่ไม่ใกล้ และไม่ไกล เกินไปที่จะทำความรู้จักกับเอสยูวีขนาดเล็กตัวใหม่ของทางค่ายฮอนด้าคันนี้
จากสัมผัสแรกที่ตั้งแต่เปิดประตูผ่านเข้าไปในห้องโดยสารของ Honda WR-V ต้องบอกว่าดูมีความสปอร์ตเพราะรุ่นที่นำมาขับทดสอบวันนี้จะเป็นในรุ่น RS ตัวท็อป ดังนั้นการตกแต่งจะมาในโทนสีดำ ตัดด้วยเส้นสายสีแดงตามส่วนต่าง ๆ ภายใน จึงสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกโฉบเฉี่ยว
เริ่มต้นออกสตาร์ทกันที่ SOCO Work มุ่งหน้าสู่อ่างศิลา จ.ชลบุรี โดยในเส้นทางบนถนนบางนา-ตราด ด้านล่าง ซึ่งในช่วงนี้จะมีจราจรที่หนาแน่นเพราะเป็นช่วงเวลาเช้า อีกทั้งเรายังขับบนถนนที่เต็มไปด้วยรถทุกไซซ์ ทุกขนาดที่มีบนถนนเมืองไทย ดังนั้นตลอดเส้นทางในช่วงแรกนั้นต้องบอกว่าสาหัสเอาการทีเดียว ด้วยสภาพการจราจรยามเช้าของกรุงเทพฯ ที่ต้องบอกว่าโครตติด รวมถึงถนนที่ย่ำแย่ของเส้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นหลุมบ่อ และการซ่อมทางตลอดเส้น
ในส่วนของเบาะที่นั่ง ตัวเบาะออกแบบสปอร์ตที่มีปีกโอบกระชับตัวได้ดี เสียตรงที่ช่วงเบาะนั่งจะสั้นไปนิดนึง เลยทำให้ช่วงน่องเหมือนมีการรองรับไม่เต็มที่ ทำให้เมื่อนั่งไปนาน ๆ เข้าจะเกิดอากาณเมื่อยล้า
ในด้านวิสัยทัศน์การมองจากตัวรถออกไปนั้นต้องบอกว่าอันนี้ดีงาม เพราะด้วยความสูงของตัวรถที่มากถึง 220 มม. จึงทำให้มีมุมมองได้อย่างชัดเจน
ในด้านขุมพลัง เริ่มตั้งแต่การออกตัวเครื่องยนต์ 1.5 ต้องพอว่าเพียงการใช้งาน โดยเฉพาะในรถขนาดไซซ์ที่เล็กอย่าง WR-V การออกตัวจะมีอาการลากรอบนิด ๆ รวมถึงเวลากดคันเร่งเพื่อเร่งแซง ต้องรอรอบนิด ๆ แต่ก็ยังดีที่มี Paddle Shift เข้ามาช่วยเหลือทำให้การขับขี่สนุกมายิ่งขึ้น
แต่ในการปรับเปลี่ยนช่องการเดินทางถือว่าคล่องแคล่ว เปลี่ยนเลนได้อย่างง่ายด่าย เพราะด้วยขนาดตัวรถที่ไม่ได้ใหญ่โต จีงถือว่าตอบโจทย์ เมืองใช้งานในเมืองพวงมาลัยอยู่ในเกณฑ์ที่ดี คม และแม่นยำพอตัว ที่สำคัญมีน้ำหนักที่ดี ไม่หน้ก และเบาจนเกินไป ส่วนด้านการออกแบบนั้นต้องบอกว่าดูดีใช้วัสดุเกรดที่ดีงาม
สำหรับระบบช่วงล่างหลังจากที่ได้ทดลองขับขี่ในเมืองโดยเฉพาะในเส้นทางที่ติด และหนาแน่น ตัวรถมีความคล่องตัว สามารถมุดแซง และเปลี่ยนเลนได้อย่างคล่องแคล่ว ด้วยรูปลักษณ์ถูกออกแบบเล็กกว่ารถเอสยูวีทั่วไป แต่จะเสียตรงที่ จะมีอาการโยนตัวเล็กน้อย เพราะด้วยความสูงของตัวรถ ยิ่งถ้าไปนั่งเบาะด้านหลังคงออกอาการเมารถได้แน่ โดยเฉพาะไปเจอพวกที่ขับแบบโยนไป โยกมา
ในช่วงที่เจอคอสะพาน หรือหลุมบ่อ เล็ก ๆ อันนี้มีความรู้ลึกชอบ ประทับใจจากการซับแรงกระแทกต่าง ๆ ทำได้ดี สำหรับการเก็บเสียงนั้นยังไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นเสียงพื้นถนน หรือเสียงเครื่องยนต์เข้ามารถ รวมทั้งเสียงลมในช่วงความเร็วสูง
เครื่องยนต์จัดว่าประหยัดใช้ได้
สำหรับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ทำงานกับเกียร์ CVT ที่ทางวิศกรได้ปรับจูนเซทใหม้่ให้เข้ากับบุคลิคของทาง WR-V ที่สามารถเค้นกำลังได้ถึง 121 แรงม้า ที่ 6,600 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 145 นิวตันเมตรที่ 4,300 รอบต่อนาที ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างคล่องตัว ขับสนุก การเข้าเกียร์เป็นไปได้อย่างสมูท นุ่มนวล อีกทั้งยังมาพร้อมกับ Paddle Shift ที่ทำให้มีอัตราเร่งที่ทันใจในทุกช่วงการขับขี่
ซึ่งนอกเหนือจากความสนุกในการขับแล้ว อัตราประหยัดน้ำมันเชิ้อเพลิงที่ทำการทดลองหลังจากขับเสร็จนั้นอยู่ที่ 18 กม.กว่า ๆ ต่อ ลิตร ซึ่งถือว่าประหยัดมาก ๆ พอ ๆ กับรถอีโกคาร์เลย ซึ่งการขับในวันนี้ข้บแบบใช้งานจริง มีกด มีเร่งทุกอย่างอยู่ครบ
ระบบปลอดภัย และระบบช่วยเหลิอการขับขี่มาแบบจัดเต็ม สมราคา
สำหรับระบบปลอดภัย และระบบช่วยเหลือการขับขี่ของ WR-V นั้นต้องบอกว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่จัดมาให้แบบครบจบในทีเดียว โดยมากับเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ที่ทำงานผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า โดยมีฟังก์ชันการทำงานหลักๆ ดังนี้
- ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ
- ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน
- ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่
- ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) (รุ่น RS)
- ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)
- ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder)
- กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-Angle Rearview Camera)
- สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)
- ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA)
- ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA)
- ระบบป้องกันล้อล็อกและระบบกระจายแรงเบรก (ABS & EBD)
- โครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CON และ ACETM ช่วยปกป้องห้องโดยสารจากการชนรอบทิศทาง
- จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX & Child Anchor)
บทสรุป
โดยรวมแล้วก็ต้องบอกว่า Honda WR-V นั้น เป็น A-SUV ที่เหมาะกับวัยรุ่น หรือวัยทำงานที่ต้องการความโดดเด่น ไม่เหมือนใคร เน้นการขับขี่ที่สนุก ในเรื่องรูปลักษณ์หน้าตานั้นต้องบอกว่าไม่สามารถไปชี้นำได้ ขึ้นอยู่แต่ละตัวบุคคลว่าจะชอบมั้ยแบบนี้ ส่วนตัวผู้เขียนขอบอกว่าผ่าน
ด้านออปชั่นความปลอดภัยมีให้เกือบครบ รวมไปถึงมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมีไม่แพ้คู่แข่ง แต่ว่าวัสดุที่ทำมาใข้งานนั้นอาจจะดูล้าสมัยไปเมื่อเทียบกับราคาค่าตัวที่ 7-8 แสนบาท อีกทั้งยังควรจะต้องเพิ่มเติมออปชั่นในสมราคาอาทิ พวงมาลัยควรปรับขึ้น-ลงได้ไม่ใช้มีเพียงดีงเข้า – ออกเท่านั้น รวมถึงเข็มขัดนิรภัยด้านหน้าที่ไม่สามารถปรับระยะสูง-ต่ำได้, เบาะนั่งถ้าใส่แบบไฟฟ้ามาให้ก็คงจะดีมาก รวมถึงเบรกมือก็ไม่ใช่ไฟฟ้า และยังไม่มีแท่นชาร์จสมาร์ตโฟนแบบไร้สาย ให้อีกด้วย
รวมถึงนั่งเบาะด้านหลังก็ไม่มีช่อง USB ซึ่งนับวันอุปกรณ์ชิ้นนี้จัดอยู่ในขั้นที่มีความจำเป็นไปแล้วสำหรับรถทั่วไป โดยอย่างยิ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นรถเอสยูวีเอนกประสงค์ รวมทั้งระบบ Honda LaneWatch ที่น่าจะปรับเปลี่ยนตัวกล่องให้มีวคามคมชัดมากขึ้นเหมือนรถรุ่นอื่น ๆ
ในด้านพละกำลัง 1.5 ลิตร จัดว่าพอตัวกับรถขนาดไซซ์นี้ อีกทั้งยังใช้งานรวมกับเกียร์ CVT ที่ปรับเซทเข้ากับตัวรถได้เป็นอย่างดี ทำให้มีความสนุกในการขับขี่มากขึ้น รวมทั้งอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื่้อเพลิงที่ได้รับในการทดลองครั้งนี้อยูู่ที่ 18 – 19 กม.ต่อลิตร ซึ่งถือว่าดีงาม
แต่ฟิลลิ่งของการเรียกรอบเครื่องยนต์ยังต้องรอรอบไปนิด แต่ก็ยังมีระบบ Paddle Shift ที่เข้ามาช่วยทำให้การขับขี่นั้นมีความสนุกสนามากขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยของเสียงเครื่องยนต์ที่ค่อนข้างจะดัง
ซึ่งถ้าเป็นไปได้เพื่อให้เข้ากับคอนเซปต์ตัวรถที่ต้องการตอบโจทย์ความสนุกสนาน เจาะกลุ่มลูกค้าวัยร่น หรือวัยเริ่มทำงาน ถ้านำเครื่องยนต์ 1.0 Turbo หรือเครื่องไฮบริดที่อยู่ใน Honda City หรืออยู่ใน Honda HRV ก็น่าจะตอบโจทย์ตรงนี้ให้มากยิ่งขึ้น
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือราคาค่าตัวของเอสยูวีขนาดเล็กรุ่นใหม่คันนี้ ที่ถูกตั้งราคาเริ่มที่ 7.99 แสนบาท ไปจนถึงรุ่นท๊อปที่มีราคาอยู่ที่ 8.69 แสนบาท ซึ่งดูจะมีค่าตัวที่แอบสูงเอาเรื่อง โดยตรงนี้อาจจะเป็นจุดเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาด ที่เป็นรถในรูปแบบเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน ซึ่งมีอยู่หลายแบรนด์พอสมควร
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ล่ะท่าน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงข้อมูลจากทางผู้เขียน ทางที่ดีควรเข้าไปลอง และสัมผัสขับตัวจริง เพื่อเป็นการตัดใจดูว่าราคาที่ทางฮอนด้าตั้งมานั้นอาจจะไม่สูงเกินไปสำหรับตัวท่านก็เป็นไปได้
ราคาจำหน่ายของ Honda WR-V 2023 มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่
- รุ่น SV ราคา 799,000 บาท
- รุ่น RS ราคา 869,000 บาท
