หลังจากที่โตโยต้าในประเทศญี่ปุุ่นได้เปิดตัว Toyota Aqua เจนเนอเรชั่นที่ 2 หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ Toyota Prius C ไปเมื่อปี 2022 และต่อมาในปี 2023 ก็ได้ส่งรุ่นตัวแรงอย่าง Toyota Aqua GR Sport Hatchback ตามออกมา
ล่าสุดในปี 2024 นี้ ทาง Toyota แดนปลาดิบได้กระตุ้นยอดขายของแฮตช์แบ็กขนาดเล็กอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวรุ่นพิเศษ โดยใช้ชื่อต่อท้ายเพิ่มว่า Raffine โดยเป็นคำมาจากภาษาฝรั่งเศส ซึ่งแปลว่า “คุณภาพเยี่ยม” มาพร้อมเฉดสีตัวถังใหม่ พร้อมตกแต่งด้วยวัสดุสีบรอนซ์เมทัลรอบคัน ซึ่งรุ่นพิเศษ Toyota Aqua Raffine นี้จะมีให้เลือกทัั้งในรุ่นข้บเคลื่อน 2 ล้อ และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ เคาะราคาจำหน่ายเริ่มที่ 2,667,000 เยน หรือตีเป็นเงินไทยอยู่ที่ราว ๆ 6.48 แสนบาท
Toyota Aqua Raffine จะจะถูกพัฒนามาจากในรุ่นย่อย Z โดยในด้านโครงสร้างตัวรถยังคงเหมือนในเดิม ไม่ว่าจะเป็นชุดไฟหน้า LED ทรงเรียวยาว ช่องรับลมด้านหน้าขนาดใหญ่
โดยสิ่งที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามาในรุ่น Raffine จะมาในตัวถังแบบสีทูโทนหลังคาดำ รวมทั้งในส่วนของกรอบฝากระจกมองข้างปรับไฟฟ้าอัตโนมัติพร้อมไฟเลี้ยว LED, มือจับประตูด้านนอก และสปอยเลอร์หลังคาด้านหลังก็มาในเฉดสีดำ
ขณะที่กรอบกระจังด้านหน้าจะมาในเฉดสีบรอนซ์เมทัลลิก เช่นเดียวกับที่กาบข้างประตูก็ถูกตกแต่งด้วยวัสดึสีบรอนซ์เมทัลลิก
นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับล้ออัลลอยลายใหม่สีบรอนซ์ โดยในรุ่น 2WD จะมีขนาด 16 นิ้ว ส่วนใรนรุ่น 4WD จะมีขนาด 15 นิ้ว พร้อมติดตราสัญลักษณ์ Raffine ไว้ที่ฝาประตูด้านท้าย
ภายในห้องโดยสารของแฮตช์แบ็กขนาดเล็กรุ่นพิเศษ จะมาในเฉดสีทูโทนดำ – บรอนซ์ โดยในส่วนของคอนโซลหน้าจะตกแต่งด้วยสีบรอนซ์เมทัลลิก ด้านเบาะที่นั่งจะถูกหุ้มด้วยทั้งวัสดุผ้า และหนังสีน้ำตาล พร้อมติดตราชื่อรุ่น Raffine ไว้ที่คอนโซลหน้าฝั่งผู้โดยสาร นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับพรมพรมปูพื้นที่มาในเฉดสีน้ำตาล
ด้านชุดอุปกรณ์ภายในอิ่น ๆ ยังคงครบครันเหมือนกับในรุ่านย่อย Z ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอเรือนไมล์ดิจิทัลขนาดใหญ่ มาพร้อมกับหน้าจออินโฟเทนเมนต์ขนาด 10.5 นิ้ว, จอ HUD, คันเกียร์อิเล็กทรอนิกส์แบบเดียวกับ Prius พร้อมที่พักแขนตรงกลาง, ช่องจ่ายไฟแบบ USB สำหรับชาร์จสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์ขนาดเล็กต่าง นอกจากนี้ยังได้ติดตั้งระบบจ่ายไฟฉุกเฉินที่เป็นเต้าเสียบไฟ AC ขนาด 100V หรือ 1500W ไว้บริเวณแถวที่นั่งตอนหลัง
ในด้านระบบความปลอดภัย และนระบบช่วยเหลือการขับขี่ จะมากับจอภาพจุดบอด (พร้อมฟังก์ชันเตือนเมื่อหยุดรถ), ระบบช่วยเบรกขณะถอยจอดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
กระจกมองข้างปรับลดแสงอัตโนมัติ (พร้อมเครื่องบันทึกการขับขี่), จอแสดงภาพแบบพาโนรามา (พร้อมมุมมองแบบมองผ่านและมุมมองแบบเคลื่อนที่) รวมทั้งยังมาพร้อมกับระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติด้วยเรดาร์, ระบบป้องกันรถออกนอกเลน, ระบบเตือนออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ, ระบบรักษาความเร็วด้วยเรดาร์ พร้อมฟังก์ชั่นรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอัตโนมัติ, ระบบอ่านป้ายจราจร และระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ เป็นต้น
ด้านพละกำลังขับเคลื่อนยังคงมากับระบบไฮบริด ที่เป็นการทำงานของเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 91 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 120 นิวตันเมตร ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 80 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 141 นิวตันเมตร โโยมีโหมดการขับขี่ให้เลือก 3 โหมดได้แก่ Normal, POWER และ Eco-drive
นอกจากนี้ยังมีในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ E-Four ที่จะเพิ่มด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับขับเคลื่อนที่ล้อคู่หลังอีก 1 ตัว ให้กำลังเพิ่มขึ้นอีก 6.4 แรงม้า รวมถึงมีแรงบิดเพิ่ีมขึ้น 5.3 นิวตันเมตร อัตราการสิ้นเปลืองที่อยู่ที่ 35.8 กม./ลิตร ตามมาตรฐาน WLTC สำหรับแบตเตอรี่ที่ใช้เก็บไฟจะเป็นแบตเตอรี่นิกเกิล-ไฮโดรเจนขนาดความจุ 5.0Ah
สำหรับ Toyota Aqua Raffine แฮตช์แบ็กขนาดเล็กรุ่นพิเศษ มีกำหนดวางจำหน่ายในญึ่ปุ่นช่วงเดือนสิงหาคม 2024 นี้
ด้านราคาจำหน่ายของ Raffine ในรุ่น 2WD จะมีราคาอยู่ที่ 2,667,000 เยน หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ทีราว ๆ 6.48 แสนบาท ส่วนในรุ่น 4WD จะมีราคาอยู่ที่ 2,837,000 เยน หรือราว ๆ 6.89 แสนบาท