หลังจากที่ทาง Changan ในประเทศจีนได้ประกาศเปิดตัว พร้อมเคาะราคาจำหน่าย DEEPAL S05 รถเอสยูวีตัวใหม่ โดยมีให้เลือกทั้งรุ่น EV และ EREV เคาะราคาเริ่มที่ราว 5.6 แสนบาท
ล่าสุดทางฉางอันประเทศไทยเตรียมที่จะนำ DEEPAL S05 เอสยูวีรุ่นใหม่ล่าสุดนี้เข้าาเปิดตัวทำตลาดในเมืองไทย ซึ่งจากข่าวเตรียมที่จะเปิดตัวในช่วงเดือนมีนาคม ที่จะถึงนี้ ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นที่ในงานบางกอกอินเตอร์เนชันแนลมอเตอร์โชว์ หรืองาน Motor Show 2024 ที่จะมีขึ้นในปลายเดือนมีนาคม 2568 นี้
DEEPAL เป็นแบรนด์รถยนต์พลังงานใหม่ภายใต้ Changan ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2022 โดย DEEPAL S05 ถือเป็นน้องใหม่ของทางแบรนด์ที่ต่อจาก DEEPAL L07 ซีดานไฟฟ้า / DEEPAL S07 ที่เป็นเอสยูวีไฟฟ้า และ DEEPAL G318 เอสยูวีออฟโรดสายลุย
โดย S05 ที่เปิดตัวว่างจำหน่ายในประเทศจีนนั้นจะมีให้เลือกทั้งเวอร์ชันไฟฟ้า 100% และในรูปแบบ EREV (Extended Range Electric Vehicle) หรือรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระบบขยายระยะทางการขับขี่ด้วยการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ที่จะวิ่งได้ระยะทางไกลกว่า 1,200 กม. เมื่อน้ำมันเต็มถังพร้อมแบตเตอรี่ชาร์จไฟเต็ม
ในด้านงานออกแบบดีไซน์ของ S05 จะมีควาามละม้ายคล้ายกับรุ่นพี่ S07 โดยทางดีพอลเผยว่าจะมากับภาษาการออกแบบที่เรียกว่า “ปีกบินระหว่างดวงดาว” กระจังหน้าจะมาแบบปิกทึบ ชุดไฟหน้าที่เป็นแบบแยกส่วน โดยทางผู้ผลิตเผยว่าชุดไฟหน้าของ S05 จะมาพร้อมความละเอียดมากถึง 1.3 ล้านพิกเซลโดยสามารถสร้างเอฟเฟกต์การฉายภาพหน้าจอ 120 นิ้วได้ ด้วยความช่วยเหลือของ Huawei xPixel
นอกจากนั้นในส่วนของช่องดักอากาศด้านล่างของ DEEPAL S05 จะสามารถแยกความแตกต่างของในรุ่น EV และ EREV โดยจะดีไซน์ให้มีความแตกต่างกันเล็กน้อย ในเวอร์ชันไฟฟ้านั้นจะตกแต่งด้วยเส้นโครเมียมให้เป็นรูปตัว U ส่วนในรุ่น EREV จะเป็นเพียงเส้นตรงลากยาวเท่านั้น
ขณะที่ด้านข้างของทั้ง 2 รุ่น จะเหมือนกันด้วยเส้นสายที่ราบเรียบ เน้นการออกแบบที่ตรงตามหลักอากาศพลศาสตร์ มือเปิดประตูมาในแบบราบเรียบไปกับตัวรถ กระจกมองข้างมาในโทนดำ พร้อมติดตั้งกล้องไว้ที่ด้านล่าง
ในส่วนล้ออัลอยจะมีขนาด 18 – 20 นิ้ว พร้อมออกแบบลวดลายให้สอดรับกับระบบแอร์โรไดนามิค เพื่อลดแรงต้านอากาศ
ด้านท้ายรถจะมากับชุดไฟท้าย LED ที่วางพาดเต็มพื้นที่ส่วนหลัง แต่จะมีขนาดที่เล็กเพียวกว่าในรุ่นพี่ S07 พร้อมสปอยเลอร์ในตัวที่บนฝาท้าย อีกทั้งยังได้รับการติตดั้งสปอยเลอร์หลังคา ที่ตรงกลางจะเป็นชุดไฟเบรกดวงที่ 3 ที่มาในทรงแนวตั้ง
นอกจากนี้ในส่วนของหลังจะมีให้เลือกทั้งแบบหลังคากระจก หรือหลังคาทึบมาพร้อมแล็คหลังคาสำหรับวางของ รวมทั้งยังมี LiDAR วางอยู่บนหลังคาด้านหน้า (สเปคที่ขายในจีน) อีกทั้งยังติดตั้งกล้องอัจฉริยะ Deepal 4K ที่มีพื้นที่เก็บข้อมูลมากถึง 64GB และสามารถจัดเก็บภาพถ่ายได้ประมาณ 21,000 ภาพหรือวิดีโอ 12 ชั่วโมง
นอกจากนั้นตัวรถจะถูกผลิตขึ้นจากเหล็กกล้า-อลูมิเนียม ที่มีความแข็งแรงสูง มากับถุงลมนิรภัย 6 ใบ และกล้องความละเอียดสูง 5 ตัว มาพร้อมเรดาร์คลื่นมิลลิเมตร 5 ตัว และเรดาร์อัลตราโซนิก 12 ตัว ที่รองรับฟังก์ชันช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง อาทิเช่น ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ, ระบบควบคุมให้อยู่กลางเลน และระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ
ในด้านขนาดมิติขนาดตัวรถ จะมีไซซืที่เล็กกว่า S07 โดยจะมีขนาดตัวรถความยาวที่ 4,620 มม. กว้าง 1,900 มม. สูง 1,600 มม. มาพร้อมระยะฐานล้อ 2.880 มม.
ภายในห้องโดยสารจะมีดีเทล และรายละเอียดที่คล้ายกับกับรุ่นพี่ในแบรนด์เดียวกันทั้ง L07 และ S07 งานดีไซน์จะมาในแบบมินิมอล โดยจะไม่มีปุ่มสั่งงานใด ๆ บนแผงแดชบอร์ด โดยเเสปที่เปิดวางขายในจีนจะมีให้เลือก 3 โทนสีได้แก่ สีส้ม Heatwave Orange, สีฟ้า Fog blue และสีเทาดำ Star rock gray
ในส่วนคอนโซลหน้าจะติดตั้งเพียงหน้าจอตรงกลางขนาด 15.6 นิ้ว ที่มาพร้อมความคมชัดระดับ 2.5K ที่วางแบบลอยตัวเพียงหน้าจอเดียว พร้อมทำมุมหันเข้าหาผู้ขับขี่ประมาณ 15 องศา เพื่อจะให้มุมมองที่ง่ายต่อการมองเห็น พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย มาพร้อมระะบบสั่งงานด้วยท่าทาง (Gesture Recognition)
ขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 8155 และรองรับการอัปเดต OTA มาพร้อมคันเกียร์จะเป็นแบบก้านอยู่ที่ด้านหลังพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันทรงสามก้านท้านตัด นอกจากนั้นยังได้รับจอแสดง AR-HUD ที่สะท้อนข้อมูลไปยังกระจกบังลมหน้าที่มีขนาด 14 นิ้ว โดยตัวรถจะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Deepal OS 3.0
ขณะที่คอนโซลกลางจะออกแบบใหม่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ โดยถูกวางให้เชื่อมต่อกับแผงคอนโซลหน้าในรูปแบบสะพาน ด้านล่างจะเป็นช่องว่างสำหรับวางของ ส่วนด้านบนมีเพียงแท่นชาร์จสมาร์ตโฟนแบบไร้สายที่มีมาให้ถึง 2 ช่อง โดยให้กำลังไฟในการชาร์จที่ 50 W มาพร้อมที่วางแก้วน้ำ 2 ช่อง
อีกทั้งยังมาพร้อมกับกล่องเก็บของเก็บอุณหภูมิขนาด 13 ลิตร ที่วางอยู่ด้านล่างของที่เท้าแขน และยังออกแบบให้มีช่องเก็บของมากถึง 35 ช่องทั่วทั้งรถ
นอกจากนี้ที่เปิดประตูของ S05 ด้านในนั้นจะเป็นแบบปุ่มกด แทนที่มือเปิดแบบปกติ อีกทั้งยังได้รับช่องปรับอากาศที่ด้านหลัง มาพร้อมพอร์ต USB 2 พอร์ต และที่รองศีรษะตรงกลาง
ด้านชุดอุปกรณ์ภายในจะมากับชุดเครื่องเสียงพร้อมลำโพง 14 ตำแหน่ง พร้อมระบบนำทางแบบ AR พิเศษด้วย, ช่องระบายอากาศด้านหลัง, ชุดไฟ Ambient Light 64 สี และหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามิคขนาด 1.9 ตร.ม.
ในส่วนของเบาะคู่หน้าจะเป็นแบบควีนไซส์ โดยเบาะที่นั่งฝั่งผู้ขับขี่จะปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง (พร้อมที่รองรับส่วนหลัง)
ขณะที่รุ่น EV จะมีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหน้าเพิ่มเติม 159 ลิตร และมีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง 492 ลิตร
ในด้านพละกำลังขับเคลื่อนของ DEEPAL S05 จะมีให้เลือกทั้งแบบ BEV ที่เป็นไฟฟ้า 100% และขุมพลัง EREV
โดยในรุ่น EV จะมากับมอเตอร์ไฟฟ้าตัวเดี่ยวที่ให้กำลัง 175 kW (238 แรงม้า) แรงบิด 320 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ในเวลา 7.3 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดจะอยู่ที่ 180 กม./ชม. จับคู่กับแบตเตอรี่ LFP ขนาดความจุ 56.12 kWh ชาร์จไฟวิ่งได้ระยะทางไกลสุด 510 กม. (CLTC) รองรับการชาร์จเร็ว 3C ที่ใช้เวลา 15 นาทีในการชาร์จแบตเตอรี่จาก 30% เป็น 80%
ขณะที่ในรุ่น EREV จะเป็นการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร ที่ให้กำลัง 72 kW (98 แรงม้า) มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 160 kW (218 แรงม้า) แรงบิด 320 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.9 วินาที ด้านความเร็วสูงสุดจะอยุ่ที่ 175 กม./ชม.
จับคู่กับแบตเตอรี่ LFP ขนาดความจุ 27.28 kWh วิ่งในโหมดไฟฟ้าได้ระยะทาง 200 กม. พร้อมวิ่งครอบคลุมระยะทางถึง 1,234 กม. เมื่อน้ำมันเต็มถังพร้อมแบตเตอรี่ชาร์จไฟเต็ม รองรับการชาร์จไฟแบบ DC ที่ให้กำลังไฟจาก 30% เป็น 80% ในเวลา 20 นาที
DEEPAL S05 ที่เปิดวางจำหน่ายในจีน จะมีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีเทา Moonlight Gray, สีขาว Moonlight White, สีดำ Sky Black, สีฟ้า Star Blue และสีบรอนซ์เงิน Streamer Silver
ในด้านราคาจำหน่ายณู๋ญฯ EV จะมีราคาอยู่ที่ระหว่าง 119,900 – 145,900 หยวน หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 5.57 – 6.78 แสนบาท และรุ่น EREV อยู่ระหว่าง 139,900 – 149,900 หยวน หรือราว ๆ 6.5 – 6.96 แสนบาท
ส่วนในเวอร์ชันที่จะเปิดตัวในไทยนั้นต้องรอลุ้นกันว่าทาง ฉางอันประเทศไทย จะนำรุ่นไหน แบบไหนเข้ามาจำหน่ายกันบ้าง โดยจะต้องเข้ามาเจอกับเจ้าของพื้นที่เดิม ที่มาจากบ้านเดียวกันอย่าง BYD ATTO3 และ NETA X ส่วนราคาต้องมาลุ้นกันว่าจะอยู่ที่เท่าไหร่ ซึ่งคาดเดาไว้ว่าน่าจะไม่เกิน 6 แสนบาท
ทั้งนี้หากมีข้อมูลเพิ่มเติมออกมาอย่างไรทางทีมงาน Autostation.com จะนำรายงานให้เพื่อน ๆ ได้ทราบอีกครั้งหนึ่ง
