ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในเมืองไทย ได้เปิดต้อนรับแบรนด์ใหม่จากประเทศจีนอีกหนึ่งแบรด์นั่นก็คือ JUNEYAO AUTO (จูนเหยา ออโต) บริษัทผู้ผลิต และจัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า ในเครือเดียวกับบริษัท จูนเหยา กรุ๊ป (JUNEYAO Group) บริษัทแม่ของสายการบินจูนเหยาแอร์ไลน์ (JuneYao Airlines) เป็นหนึ่งในสายการบินเอกชนชั้นนำในประเทศจีน
โดยรถรุ่นแรกที่ส่งลงทำตลาดในเมืองไทยนั้นนั่นก็คือ JY AIR รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่มาในรูปแบบเก๋งซีดานคูเป้ท้ายลาด โดยจะมีให้เลือก 2 รุ่น JY AIR Standard และ JY AIR PLUS โดยมีราคาจำหน่ายดังนี้
- JY AIR Standard แบตเตอรี่ 51 kWh วิ่งไกล 430 กม. ราคา 759,000 บาท
- JY AIR PLUS แบตเตอรี่ 64 kWh วิ่งไกล 520 กม. ราคา 869,000 บาท
มาพร้อมการรับประกัน และข้อเสนอดังนี้
- รับประกันคุณภาพรถยนต์นาน 8 ปี หรือ 150,000 กม.
- รับประกันมอเตอร์ไฟฟ้านาน 8 ปี หรือ 150,000 กม.
- รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 800,000 กม.
- บริการช่วยเหลือฉุกเฉินฟรี 24 ชั่วโมง นาน 8 ปี
- ฟรี JUNEYAO AIR Gold Membership 3 ปี (สำหรับสมาชิก)
- ฟรีตั๋วเครื่องบิน 4 ที่นั่ง (ไม่จำกัดเส้นทางการบิน) นาน 3 ปี
- ฟรี AC Charger และค่าติดตั้ง
- ฟรี ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 นาน 1 ปี
สำหรับ JY AIR ซีดานไฟฟ้าใหม่รุ่นนี้จะมาพร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะที่จะมอบความสุขในทุกมิติ ผสมผสานระหว่างนวัตกรรมการขับขี่ที่ให้ความสะดวกสบายเหมือนที่อยู่บน First class
ในด้านงานออกแบบตัวรถมาในรูปแบบซีดาน Fastback ท้ายลาด 5 ประตู แรงบันดาลใจจากเครื่องบินอากาศยาน โดยยึดหลัก “Minimalistic Aviation Aesthetics” หรือสุนทรียศาสตร์แห่งอากาศยานอันเรียบง่าย ซึ่งตัวรถออกแบบให้มีลักษณะเป็นทรงกล่องเดียว ที่เรียกว่า Ultimate One-Box และตั้งอยู่บนพแลทฟอร์มไฟฟ้าล้วนที่พัฒนาขึ้นเอง
ตัวรถในส่วนด้านหน้ากระจังหน้าจะมาในทรงสี่เหลี่ยมคางหมู มาในแบบปิดทึบตามแบบฉบับรถบนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ มาพร้อมชุดไฟหน้า LED ที่ได้รับแรงบันดาลใจปีกของเครื่องบิน โดยมีความบางเพียง 15 มม. ด้านในติดตั้งหลอดไฟ LED ที่มากถึง 240 ดวง ซึ่งจะให้ความสว่าง และคมชัดเหมือนกับไฟที่ติดอยู่บนปีเครื่องบิน
ขณะที่ด้านล่างจะมากับช่องดักอากาศแบบแอคทีฟที่เปิด- ปิดอัตโนมัติ ที่จะทำงานสัมพันธ์กับความเร็วของตัวรถ รวมทั้งยังมาพร้อมช่องลมวางที่อยู่ด้านล่างของชุดไฟหน้า โดยจะช่วยให้ลมผ่านเพื่อระบายความร้อนให้กับล้อ และระบบเบรก รวมทั้งยังช่วยลดแรงต้านอาาศ
ด้านเส้นสายด้านข้างดีไซน์ให้มากับความราบเรียบ มือเปิดประตูมาในแบบราบไปกับตัวรถ มาพร้อมหลังคาในสไตล์ Fastback ที่ทำให้กระแสลมผ่านจากด้านหน้าไปสู่ด้านหลัง ช่วยลดเสียงลมที่เข้าไปสู่ห้องโดยสารได้
ส่วนด้านท้ายรถ มากับไฟท้ายที่ดีไซน์ให้เป็นลักษณธเหมือนกับสปอยเลอร์หลังในตัว โดยงานออกโดยตัวรถโดยรวมจะช่วยทำให้ JY AIR มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเพียง 0.23 Cd
ขณะที่ชุดล้ออัอลอยออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจาก Turbo Fan ของเครื่องบินเจ็ท โดยจะมีให้ 2 ขนาด ได้แก่ ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ที่พร้อมยาง 215/60 R17 และล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว รัดด้วยยาง 235/45 R19
ส่วนหลังคาด้านบนจะเป็นหลังคาแก้วหพาโนรามาขนาด 2.072 ตร. ที่ป้องกันความร้อน และแสง UV ถึง 98%
ในด้านขนาดมิติตัวรถจะมีความยาว 4,550 มม. กว้าง 1,860 มม. สูง 1,515 มม. และมีระยะฐานล้อยาว 2,800 มม.
ภายในห้องโดยสาร จะถูกออกแบบในสไตล์มินิมอล ที่เน้นความเรียบหรู โดยจะลดการใช้ปุ่มสั่งงานต่าง ๆ แผงแดชบอร์ดจมากับมาตรวัดแบบบ LCD ขนาด 10.25 นิ้ว ที่วางอยู่ด้านหลังพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ 2 ก้าน โดยมีปุ่มควบคุมสั่งงานเป็นแบบจอยสติ๊ก
ตรงกลางคอนโวลหน้าติดตั้ง หน้าจอควบคุมสั่งงานแบบสัมผัสขนาด 15.6 นิ้ว ที่สามาถปรับมุมองศาหันเข้าหาผู้ขับขี่ได้ มาพร้อมระบบปฎิบัติการ Crystal OS รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto
นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อรถกับสมาร์ตโฟน ที่สามรถบอกสถานะของรถ ทั้งแบตเตอรี่คงเหลือ, ระยะทางการวิ่ง และการบำรุงรักษาต่าง ๆ รวมทั้งยังสามารถควบคุมระยะไกลได้ อาทิการล็อครถ, การปรับระบายอากาศของเบาะนั่ง, การเปิด และปรับอุณหภูมิภายในตัวรถ
ด้านคอนโซลกลางดีไซน์ให้เชื่อต่อติดกับคอนโซลหน้าในลักษณะแบบเรเยลเป็นชั้น ด้านบนจะมีแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charger และช่องวางแก้วน้ำ 4 ช่อง ที่ ด้านหน้า 2 และ ที่ด้านหลังอีก 2 ช่อง
เบาะที่นั่งจะถูกหุ้มด้วยหนัง PU Polyurethane และผ้า โดยตัวเบาะจะมาในแบบ Car Dream Seat ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับสรีระของผู้ใช้งาน ให้การนั่งรู้สึกสบาย
ในส่วนเบาะคู่หน้าสามารถปรับเอนลงได้ 240 มม. ปรับความสูงได้ 46 มม. และปรับพนักพิงได้ถึง 160 องศ ส่วนเบาะนั่งด้านหลังพับเบาะใช้เพียงปุ่มเดียวโดยพับได้แบบ 60:40 นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับระบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง และยังได้รับการติดตั้งชุดไฟ Ambient Light ที่ปรับได้มากถึง 256 สี
ในด้านระบบความปลอดภัย โครงสร้างรถผ่านการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัย Euro NCAP ระดับ 5 ดาว มาพร้อมระบบกล้องมองหน้าอัจฉริยะ มาพร้อมกล้อง 10 ตัวรอบคัน โดยแบ่งเป็น 8 ล้านพิกเซล 2 ตัว กล้อง 3 ล้านพิกเซล 4 ตัว และ กล้อง 4 ล้านพิกเซลีอีก 2 ตัว รวมทั้งยังได้รับ เรดาร์คลื่อนมิลิมิเมตรอีก 5 ตัว และเรดาร์อัลตราโซนิก 12 ตัว
รวมถึงมี ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถุงลมด้านข้าง ม่านถุงลม และถุงลมด้านหลัง รวมทั้งรถรุ่นนี้ยังมี Center Airbag ที่คั่นระหว่างผู้นั่งตอนหน้าและตอนหลัง
ด้านการขับขี่อัตโนมัติของ JY AIR มาพร้อมระบบขับขี่อัตโนมัติ Autonomous Level 2+ และระบบช่วยเหลืออการขับขี่อีก 16 ฟีเจอร์ ได้แก่ ACC / AEB / FCW / LDW / LKA / LCC / ISA / ELK / BSD / LCW / DOW / RCTA / RCTB / RCW / ICA / DMS
JY AIR ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม SKY ในด้านพละกำลังขับเคลื่อน ในรุ่น JY AIR ทั้งรุ่น Standard และ PLUS จะมากับมอเอตร์ไฟฟ้าตัวเดี่ยวที่วางอยู่ที่ล้อหลัง ให้กำลัง 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กม.ชม. ในเวลาต่ำกว่า 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 170 กม.ชม. มีพร้อมโหมดขับขี่ 4 โหมดด้วยกัน ได้แก่ โหมด Eco, Normal, Sport, One-Pedal สามารถปรับแต่งโหมดการขับขี่เองได้ตามที่ต้องการได้
ด้านชุดแบตเตอรี่จะเป็นลิเธียมไอออนแบบ LFP โดยมาในแบบ CTP (Cell-to-Pack) ในรุ่น Standard จะมีความจุ 51 kWh ชาร์ตไฟวิ่งไกล 430 กม. (NEDC) ส่วนในรุ่น PLUS จะมีความจุ 64 kWh ชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้งให้ระยะทางวิ่งไกล 520 กม. (NEDC)
รองรับการชาร์จไฟทั้งแบบกระแสตรง DC ที่ให้กำลัง 30-80% ภายใน 30 นาที และชาร์จกระแสสลับ AC 10-100% โดยในรุ่น Standard ชาร์จไฟเต็มในเวลา 5.3 ชม. ส่วนในรุ่น Plus จะชาร์จไฟเต็ม.นเวลา 6.5 ชม.
ส่วนระบบช่วงล่างด้านหน้ามาในแบบ McPherson Strut ส่วนด้านหลัง้เป็นแบบ 5-Link
JY AIR ที่เปิดวางจำหน่ายในตลาดเมืองไทย จะมีให้เลือก 6 สี ในรุ่น Standard จะมี 2 สี ได้แก่ สีขาว Moon White และสีดำ Galactic Black จับคู่กับสีภายในที่เป็นสีเทาเข้ม Luna Grey
ส่วนในรุ่น Plus จะมีสีตัวถังให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีขาวหลังคาดำ Moon White Roof Galactic Black, สีดำ Galactic Black, สีฟ้าคราม Meteorite Blue และสีเขียว Aurora Green
ส่วนเฉดสีภายในจะมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีดำ Silk Black, สีส้ม Honey Orange และสีเทา Luna Grey
โดยสามารถไปสัมผัส JY AIR เก๋งซีดานไฟฟ้าตัวใหม่อย่างใกล้ชิดได้ที่ ภายในงานใน Motor Expo 2024 บูธ B17 ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี