in , ,

รถยนต์ไฟฟ้าในไทยมีเฮต่อ ! รัฐ ฯ เปิดมาตรการ EV 3.5 อุดหนุนสูงสุด 1 แสนต่อคัน เริ่ม 2 ม.ค. 67

ครม.ไฟเขียวมาตรการ EV 3.5 ให้เงินอุดหนุนสูงสุด 1 แสนบาทต่อคัน ระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปี 2567 – 2570 ด้วยงบวงเงิน 34,000 ล้านบาท มีผลเริ่มใช้ 2 ม.ค. 2567

EV 3.5

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่าหลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กรมสรรพสามิตได้นำเสนอการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567-2570 เพื่อใช้ในการดำเนินการตามมาตรการอุดหนุนผู้ประกอบการยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 ในช่วงเวลา 4 ปี (พ.ศ. 2567-2570) ด้วยงบวงเงินราว 34,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2567 เพื่อส่งเสริมให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และผลักดันไทยก้าวสู่การเป็นฐานผลิตชั้นนำของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค

 EV 3.5

สำหรับมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 นี้ จะเป็นมาตรการสนับสนุนการใช้รถ EV ต่อเนื่องจากมาตรการ EV 3.0 ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค. 2566

 EV 3.5

โดยมาตรการ EV 3.5 เป็นมาตรการที่ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่ต้องการสนับสนุนอุตสาหกรรม EV อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นฮับยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค การออกมาตรการ EV 3.5 ในครั้งนี้ จะสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรม EV ในประเทศไทยเพิ่มเติม ทั้งการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายเดิมเปลี่ยนผ่านไปสู่ EV และการดึงบริษัทรถยนต์รายใหม่ ๆ ให้เข้ามาตั้งฐานผลิตในประเทศเพิ่มเติมอีกด้วย

 EV 3.5

สำหรับเงื่อนไขรายละเอียดของมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 นั้นจะครอบคลุมทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถกระบะไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า โดยทางรัฐจะให้เงินอุดหนุนตามประเภทของรถ และขนาดของแบตเตอรี่ ดังนี้ 

 EV 3.5

  • รถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh จะได้รับเงินอุดหนุนระหว่าง 50,000-100,000 บาทต่อคันในปีที่ 1 / 75,000 บาทต่อคัน ในปีที่ 2 และ 50,000 บาทต่อคัน ในปีที่ 3 – 4 สำหรับขนาดแบตเตอรี่ต่ำกว่า 50 kWh จะได้รับเงินอุดหนุน 50,000 บาบต่อคันในปีที่ 1 / 35,000 บาทต่อคันในปีที่ 2 และ 25,000 บาทต่อในปีที่ 3-4

 EV 3.5

  • รถกระบะไฟฟ้าราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh จะได้รับเงินอุดหนุนระหว่าง 50,000-100,000 บาทต่อคัน ตลอดระยะเวลา 4 ปี เฉพาะส่วนที่ผลิตในประเทศ

 EV 3.5

  • รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 150,000 บาท ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 kWh จะได้รับเงินอุดหนุนระหว่าง 5,000-10,000 บาทต่อคัน ตลอดระยะเวลา 4 ปี เฉพาะส่วนที่ผลิตในประเทศ

 EV 3.5

นอกจากนี้ในมาตรการ EV 3.5 จะมีการลดอากรขาเข้าไม่เกินร้อยละ 40 สำหรับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (CBU) ที่มีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ในช่วง 2 ปีแรก ตั้งแต่พ.ศ. 2567-2568 และลดอัตราภาษีสรรพสามิตจากร้อยละ 8 เหลือร้อยละ 2 สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท

 EV 3.5

อีกทั้งได้กำหนดเงื่อนไขการลงทุนในประเทศ โดยภายในปี 2569 ให้มีการผลิตชดเชยในอัตราส่วน 1 : 2 (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 2 คัน) และจะเพิ่มอัตราส่วนเป็น 1 : 3 ในปี 2570 

โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายเดิมที่เข้าร่วมมาตรการ EV 3 แล้ว หากมีความประสงค์จะเข้าร่วมมาตรการ EV 3.5 ให้สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ได้ โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของแต่ละมาตรการ

 EV 3.5

ทั้งนี้ทางกรมสรรพสามิต คาดว่าจะมีรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับการสนับสนุนในช่วงระยะเวลา 4 ปี ประมาณ 830,000 คัน แบ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 454,000 คัน รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 346,000 คัน และรถกระบะไฟฟ้า 30,000 คัน โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณจำนวน 34,000 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 4 ปี

 EV 3.5

และนอกจากนี้ทางกรมสรรพสามิตยังจะขยายเวลาการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับสิทธิตามมาตรการ EV 3 เพิ่มอีก 1 เดือน จากเดิมที่ต้องจดทะเบียนภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ให้ขยายเวลาเป็นต้องจำหน่ายภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 และต้องจดทะเบียนภายในวันที่ 31 มกราคม 2567 เพื่อให้ผู้ที่ตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงปลายปี 2566 สามารถยื่นจดทะเบียนได้ทันภายในเดือนมกราคม 2567