Changan Automobile เตรียมที่จะหันมาเปิดตลาดรถยนต์กระบะในประเทศจีนอย่างจริงจัง ล่าสุดจ่อเปิดตัวรถกระบะรุ่นใหม่ที่มากับขุมพลัง HEV ที่ใช้ชื่อรุ่นว่า Changan Hunter โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดเมืองจีนในวันที่ 22 ธ.ค. 2024 ที่จะถึงนี้
สำหรับข้อมูลบางส่วนของ Changan Automobile Hybrid Pickup นั้นด้านงานออกแบบ โดยเฉพาะในส่วนด้านหน้าตัวรถจะมีกลิ่นอายของรถในค่ายเดียวกันอย่างทางรถในตระกูล Changan UNI ด้านหน้าจะมาในแบบ Shark Nose กระจังหน้าสีดำขนาดใหญ่วางเต็มพื้นที่ มาพร้อมรูปทรงไฟหน้าใหม่ รูปทรงตัว T ที่ด้านบนจะเป็นชุดไฟ DRL ส่วนฐานล่างจะเป็นไฟส่องสว่าง
เติมความดุดันด้วยกันชนหน้าดีไซน์โหดไซซ์ใหญ่ โดยในรุ่นไฮเอนด์จะมีไฟตัดหมอกที่สเกิร์ตหน้าทั้งสองข้าง ในขณะที่รุ่นเริ่มต้นจะตกแต่งด้วยสีดำล้วน พร้อมติดตั้งการ์กกันกระแทกสีดำใต้ห้องเครื่อง
ด้านข้างตัวรถติดตั้งบันไดข้าง เพิ่มเติมความาหล่อด้วยล้อทูโทนขนาด 18 นิ้ว มาพร้อมแล็คหลังคาสีบรอนซ์เงิน และราวจับที่ตัวข้างกระบะท้ายทั้ง 2 ฝั่ง ส่วนด้านท้าย มาพร้อมสปอร์ตบาร์สีดำ และชุดไฟเบรกดวงที่ 3
ในด้านมิติขนาดตัวรถ จะมีทั้งแบบรุ่นมาตรฐาน และรุ่นฐานล้อยาว โดยรุ่นมาตรฐานตะมีความยาว 5,380 มม. ความกว้าง 1,980 มม. ความสูง 1,875 มม. และมีระยะฐานล้ออยู๋ที่ 3,180 มม.
ขณะที่รุ่นฐานล้อยาวจะมีความยาวตัวรถอยู่ที่ 5,630 มม. ความกว้าง 1,930 มม. ความสูง 1,885 มม. และมีระยะฐานล้อ 3,430 มม.
สำหรับภายในห้องโดยสาร จะออกแบบให้มาพร้อมความทันสมัย แผงแดชบอร์ดได้รับการติดตั้งหน้าจอคู่ ขนาดใหญ่ โดยจะมีแผงหน้าปัด LCD เต็มรูปแบบ ต่อเชื่อมกับหน้าจออินโฟนเทนเมนต์ มาพร้อมพวงมาลัยฟังก์ชั่น, ช่องแอร์แบบ Through-type
ในด้านพละกำลังขับเคลื่อนจะมากับเครื่องยนต์ 2.0T มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า ที่มีให้เลือกทั้งแบบมอเตอร์ไฟฟ้าตัวเดียว และมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
โดยรุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าตัวเดียวจะติดตั้งอยู่ทีคุ่ล้อหลังให้กำลัง 174 แรงม้า ขณะที่รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD มอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้าจะให้ 94 แรงม้า ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หลังจะให้กำลัง 174 แรงม้า นอกจากทางฉางอันยังเคลมไว้ว่าสามารถวิ่งในโหมดไฟฟ้าล้วนได้ระยะทางไกลถึง 180 กม. โดยถ้าน้ำมันเต็มถึงแบตเตอรี่ชาร์จเต็มจะครอบคลุมการวิ่งได้ถึง 1,031 กม. ตามมาตรฐาน CLTC
สำหรับรายละเอียดโดยรวมทั้งหมด รวมทั้งสนนราคาจำหน่ายของ Changan Hunter 2024 รถกระบะไฮบริดใหม่นี้จะได้รับการเปิดเผยอีกครั้งในวันที่ 22 ธ.ค. ที่จะถึงนี้ ซึ่งทางทีมงาน Autostation.com จะนำรายงานให้ทราบอีกต่อไป