หลังจากที่ทางออดี้ได้เผย Teaser ของรถต้นแบบออกมาตั้งแต่ปี 2022 ที่ผ่านมา ล่าสุดทางค่าย 4 ห่วง Audi จากเยอรมนี ได้เผยโฉมรถต้นแบบไฟฟ้าใหม่ออกสู่สายตาชาวโลกแล้ว โดยใช้ชื่อว่า Audi Activesphere Concept ที่มาในรูปทรงรถคูเป้ครอสโอเวอร์ ที่สามารถดัดแปลงให้กลายเป็นบรรทุกสายลุยได้ อีกทั้งยังชาร์จไฟเต็มวิ่งได้ไกลถึง 600 กม.
Audi Activesphere Concept เป็นรถต้นแบบไฟฟ้า ที่ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการต่อมาจาก Skysphere, Grandsphere และ Urbansphere โดยทีมงานนักออกแบบของ Audi ได้ดีไซน์ให้รถต้นแบบคันที่ 4 ของในซีรีส์มีสไตล์ที่ผสมผสานของรุ่น Sportback และ Allroad เข้ากับรถยนต์ไฟฟ้าอเนกประสงค์แบบ SUV
สำหรับ Audi Activesphere Concept จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบในรูปแบบครอสโอเวอร์คูเป้ 4 ประตู ที่รวมเอาความเป็นรถเอสยูวี, รถสปอร์ต และรถกระบะเข้ามาไว้ด้วยกัน มาพร้อมความสามารถแบบออฟโรด ขณะที่ด้านหลังสามารถปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่บรรทุกสัมภาระแบบเปิด โดยทาง Audi กล่าวว่ากระบะท้ายสามารถบรรทุกจักรยานไฟฟ้า 2 คันและอุปกรณ์กีฬาอื่นๆ ได้
ในด้านรูปลักษณ์จะมาในรูปทรงที่ดูเพียว ตรงตามหลังแอโรไดนามิก มาพร้อมระบบกันสะเทือนแบบถุงลมของ Audi โช้คอัพแบบปรับระดับได้ ซึ่งสามารถเพิ่มระยะห่างจากพื้นของรถ 208 มม. ขึ้นอีก 40 มม.ได้
ตัวรถองค์ประกอบส่วนใหญ่ของภายนอกจะเป็นกระจก ไม่ว่าจะเป็นหลังคากระจก กระจกที่ประตูส่วนล่าง และกระจังหน้ากระจก ที่น่าสนใจคือในส่วนกระจกบังลมหลัง ยังสามารถเลื่อนขึ้นเพิ่อเปลี่ยน Activesphere Concept ให้กลายเป็นรถกระบะได้
ด้านไฟหน้าจะมากับชุดไฟ LED ทั้งระบบ โดยไฟหน้าและไฟท้าย จะใช้เทคโนโลยีไมโครแอลอีดีแบบละเอียดพิเศษ โดยมีโลโก้ Audi ซึ่งเป็นห่วงทั้ง 4 ที่มาพร้อมชุดไฟ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แบบใหม่ของ Audi ด้านข้างติดตั้งหล้องแทนกระจกมองข้าง มาพร้อมล้ออัลลอยด์ลาย 6 ก้านที่มีรูเปิดและปิดได้ โดยมีขนาดใหญ่ถึงขนาด 22 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 285/55R22 ที่พร้อมวิ่งลุยได้ทุุกเส้นทาง
ด้านภายในห้องโดยสาร เมื่อเปิดประตูแบบ Suicide door หรือเรียกแบบไทย ๆ ว่าประตูแบบตู้กับข้าว เข้าไปภายในห้องโดยสารจะพบกับความหรูหรา และไฮเทค เริ่มจากตัวรถถูกออกแบบไม่มีเสา B เพระะต้องการให้ผู้โดยสารสามารถการเข้าออกได้สะดวก
ด้านในจะมีเบาะที่นั่งรองรับได้ 4 ที่นั่ง ในตัวเบาะจะมีลักษณะเหมือนเก้าอี้นั่งเล่นที่มีที่วางแขนและพนักพิงศีรษะในตัว ขณะที่บนแดชบอร์ดดีไซน์แบบไม่มีหน้าจอหรือปุ่มควบคุมใด ๆ และมีเพียงซาวด์บาร์ขนาดใหญ่ และช่องแอร์เท่านั้น
เมื่อขับขี่ในโหมดอัตโนมัติ แผงหน้าปัด, พวงมาลัย และแป้นเหยียบ จะถูกปรับเก็บไป เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้กว้างขวางขึ้นด้านหน้าคนขับ เพื่อระยะการมองเห็นที่ชัดเจน บริเวณ Singleframe แบบเคลือบกระจกช่วยให้ผู้โดยสารมองเห็นถนนด้านหน้าได้อย่างไม่มีสิ่งกีดขวาง
นอกจากนั้นในส่วนคอนโซลกลางระหว่างผู้โดยสาร จะมีฝาปิดโปร่งใสสำหรับเก็บอาหารและเครื่องดื่มทั้งร้อนและเย็นได้อีกด้วย
และที่เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของรถต้นแบบคันนี้ จะมาพร้อมฟีเจอร์เทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยม โดยในส่วนบนหลังคาจะมีชุด Headset ที่มีลักษณะเหมือนแว่นตา อยู่ 4 ชุด สำหรับผู้โดยสารทุกคน โดยสิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้โดยสารทุกคนเข้าถึงโลกแห่งความเป็นไปได้ใหม่ ซึ่งจะโต้ตอบระหว่างมนุษย์ กับเครื่องจักรโดยไม่จำเป็นต้องใช้หน้าจอหรือการควบคุมทางกายภาพ ระบบใหม่นี้เรียกว่า Audi Dimension และสามารถเข้าถึงได้ง่ายโดยสัญชาตญาณเพียงแค่สวมชุดหูฟังเท่านั้น
โดยผู้ใช้แต่ละคนสามารถเข้าถึงฟีเจอร์สาระบันเทิงได้โดยการโต้ตอบกับกราฟิกแบบ 3 มิติ ผ่านการสัมผัส ท่าทาง หรือการเคลื่อนไหวของดวงตา ที่น่าสนใจคือ แต่ละเมนู/ฟังก์ชันแสดงไว้ใกล้กับจุดสนใจ เช่น ระบบควบคุมสภาพอากาศแบบฮูเวอร์ข้างช่องระบายอากาศ, เมนูเพลงแบบฮูเวอร์ข้าง ๆ ลำโพง เป็นต้น
โดยพื้นผิวภายในห้องโดยสารทั้งหมด สามารถเปลี่ยนเป็นหน้าจอสัมผัสที่มองไม่เห็นเพื่อแสดงข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน นอกจากนี้ ผู้โดยสารยังสามารถสวมชุดหูฟังภายนอกรถได้โดยใช้ฟังก์ชันความจริงเสริมในโลกแห่งความเป็นจริง
Audi Activesphere Concept ถูกสร้างขึ้นบนสถาปัตยกรรม Premium Platform Electric ที่พัฒนาร่วมกับ Porsche โดยมีมิติความยาวตัวรถอยูี่ที่ 4,980 มม., กว้าง 2,070 มม., สูง 1,600 มม. และมีระยะฐานล้อกว้าง 2,970 มม.
ในด้านขุมพลังขับเคลื่อนของรถต้นแบบคันนี้ จะมากับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ให้กำลังรวม 436 แรงม้า และแรงบิด 720 นิวตันเมตร มาพร้อมระบบขับเคลื่อนแบบ AWD
ด้านแบตเตอรี่ขะมีขนาด 800 โวลต์ที่ติดตั้งระหว่างเพลา มีความจุขนาด 100kWh ที่จะให้ระยะทางขับขี่ได้ไกลมากกว่า 600 กม. ที่สำคัญกว่านั้นรองรับอัตราการชาร์จสูงสุด 270 kW ซึ่งหมายความว่าสามารถชาร์จWAจาก 5 – 80% ในเวลาน้อยกว่า 24 นาที
ระบบช่วงล่างเป็นแบบ 5-link ทั้งหน้าและหลัง อีกทั้งยังมีถุงลมสปริง สามารถปรับความสูง และการปรับจูนตามสภาพถนนได้
สำหรับ Audi Activesphere Concept คาดยังไม่ถูกพัฒนาไปถึงขั้นผลิตเป็นเวอร์ชั่นจำหน่ายจริง คงจะมีเพีนงนำฟีดเจอรืบางอย่างบนตัวต้นแบบคัยนนี้ไปใช้สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของทางค่าย ในอนาคตเท่านั้น