BMW Group ได้เฉลิมฉลองการมาของโมเดล X5 ในวาระการครบรอบ 25 ปี นับตั้งแต่รถอเนกประสงค์ รหัส E53 คันแรกออกจากสายการผลิตที่โรงงาน Spartanburg ในเซาท์แคโรไลนา สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 1 กันยายน 1999 ด้วยการเปิดตัวรุ่นพิเศษ BMW X5 Silver Anniversary Edition ที่ผลิตออกมาให้เหล่าแฟน ๆ Bimmer ให้ได้จับจองกันเพียง 1,000 คันเทานั้น
X5 Silver Anniversary Edition ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ BMW X5 xDrive40i โดยจะมากับสีเทาพิเศษ Lime Rock Grey Metallic ของทาง BMW Individual
เติมความดุดันด้วยชุดตกแต่ง Extended Shadowline ที่มากับขอบหน้าต่างบานข้างปรับสีดำ มาพร้อมแผ่นรีดอากาศหลังซุ้มล้อ, ฝาครอบกรอบกระจกมองข้าง, เสาหลังคา, และซี่ตะแกรงด้านในของกระจังหน้า ที่มาในโทนสีดำทั้งหมด เติมวคามอเนกประสงค์ที่บนหลังคาด้วยราวหลังคา Air Breathers
ภายในห้องโดยสารชุดอุปกรณ์ต่าง ๆ ยังคงเหมือนกับในรุ่น xDrive40i มีเพียงติดตั้งชุดเบาะทรงสปอร์ตพร้อมตกแต่งด้วยงานคาร์บอน ที่ยกมาจาก X5 M Competition และ X5 M60i โดยจะมีเฉดสีภายในห้องโดยสารให้ลูกค้าได้เลือกหลาหหลายสีไม่ว่าจะเป็น สีดำ Black, สีน้ำตาล Cognac, สีน้ำตาล Coffee และสีเทาอ่อน Silverstone Sensafin
นอกจากนี้ยังถูกตกแต่งแบบเดียกับในรุ่น Sport และ M Sport โดยจะได้รับการติดตั้งล้ออัลลลอยทูโทน M Star ขนาด 20 นิ้ว ที่มาจากชุดแพ็คเกจ M Sport มาพร้อมตัวกันชนที่ตกแต่งด้วยอลูมิเนียมที่มาจากจากรุ่น Sport Design
อีกทั้งยังได้รับชุดแพ็กเกจ xOffroad ที่ประกอบด้วยระบบกันสะเทือนแบบถุงลม พร้อมระบบล็อกเฟืองท้ายด้านหลังแบบกลไก เสริมความปลอดภัยด้วยการ์ดกันกระแทกใต้ท้องรถ พร้อมปรับระยะห่างจากพื้นถนนให้เพิ่มขึ้น รวมทั้งยังได้รับกล้องมองภาพรอบคันใน xOffroad ทำงานที่ความเร็วสูงสุด 35 กม./ชม. เพื่อแสดงภาพภูมิประเทศโดยรอบแบบเรียลไทม์ ทั้งมุมด้านข้าง และระยะห่างจากพื้นถนน นอกจากนั้นยังมากับระบบควบคุมอัตราการตอบสนองบนพื้นผิวขรุขระ Terrain Response system
ในด้านพละกำลังขับเคลื่อนนั้นมากับเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ที่ให้กำลังสูงสุด 380 PS แรงบิดสูงสุด 540 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ทำงานร่วมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive มาพร้อมโหมดการขับขี่ 4 โหมด ได้แก่ xSnow, xSand, xGravel และ xRocks
BMW X5 Siver Anniversary Edition 2025 รุ่นพิเศษนี้จะถูกผลิตอกมาในจำนวนจำกัดเพียง 1,000 คันเท่านั้น แต่ไม่บอกว่าจะวางจำหน่ายที่ไหนบ้าง และจะเริ่มการผลิตในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ ส่วนด้านราคาค่าตัวนั้นทางบีเอ็มดับเบิลยูเผยว่าจะมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 79,900 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.93 ล้านบาท