ในปี 2023 นี้นอกจากที่ทาง MINI จะเปิดตัว MINI Cooper 2024 ใหม่ เจนเนอเรชันที่ 5 ที่ประเดิมด้วยรุ่นขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% แล้ว ยังได้เปิดตัวรถออกมาพร้อม ๆ กันอีก 1 รุ่นนั้นก็คือ MINI Countryman 2024 ซึ่งในรุ่นใหม่นี้จะเป็นเจนเนอเรชันที่ 3 มาพร้อมกับความปรับเปลี่ยนใหม่ในหลาย ๆ จุด ทั้งในเรื่องรูปแลักษณ์หน้า รวมทั้งขนาดของมิติตัวรถที่ใหญ่ขึ้น นอกจากนั้นยังเสริมความหลากหลายด้วยขุพหลังไฟฟ้า 100% ที่นอกเหฟนือไปจากขุมพลังเครื่องยนตืเบนซิน และดีเซล
สำหรับ MINI Countryman 2024 ใหม่ มาพร้อมกับขนาดของรถที่มีความยาว 4,433 มม., กว้าง 1,843 มม., สูง 1,656 มม. และมีระยะฐานล้อ 2,692 มม. ซึ่งใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าในทุกมิติ
ในด้านงานดีไซน์หน้าตาก็ได้รับการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ให้มึความโมเดิร์น มันสมัยมากขึ้นกว่าเดิม โดยใช้ภาษาการออกแบบใหม่ Charismatic Simplicity ที่ยังคงเอกลักษณ์จากรุ่นก่อนหน้าเอาไว้เช่นเดิม แต่ปรับให้มีความโค้งลง และมีเส้นสายที่คมชัดมากขึ้น
ด้านหน้ามากับกระจังหน้าใหม่ทรงแปดเหลี่ยม ที่ปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้น โดยด้านในจะมาเป็นสีเดียวกับตัวรถ พร้อมเพิ่มความหรูหราด้วยการคาดด้วยแถบโครเมียม ขณะที่ไฟหน้า LED ปรับจากทรงกลม ให้มาเป็นแบบทรงเหลี่ยมแทน พร้อมทั้งยังถูกวางอยู่ในต่ำแหน่งสูงขึ้นกว่ารุ่นก่อน
ขณะที่ในส่วนหลังคาจะมาในแบบ Floating หรือหลังคาแบบลอยตัว ด้วยการตกแต่งเสาของตัวรถให้เป็นเฉดสีดำ ส่วนเส้น Horizontal Beltline ด้านข้างของตัวรถยังอยู่แบบเดิม, มือจับเปิดประตูมาเป็นแบบฝัง ส่วนขอบซุ้มล้อสีดำปรับใหม่ใหม้มีขนาดที่เล็กลง สอกดรับเข้าชุดกับล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 17 นิ้ว
ที่ด้านหลังยังคงมากับชุดไฟท้าย Matrix LED แต่ปรับให้บาง และมีขนาดที่เล็กลง แต่ยังคงเอกลักษณ์ด้วยลวยลายกราฟิก Union Jack ที่ด้านใน
นอกจากนั้นตัวรถยังเสริมความสปอร์ตด้วยสปอยเลอร์หลัง รวมทั้งยังเพิ่มความหรูหราด้วยการตกแต่งด้วยเส้นโครเมียม
สำหรับการตกแต่งของ MINI Countryman 2024 ใหม่ จะมีให้เลือก 4 เกรด ได้แก่ Essential, Mid-Range Classic, Favoured และ John Cooper Works โดยแต่ละระดับมีสไตล์และอุปกรณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แต่ด้วยการออกแบบองค์รวมต่าง ๆ รวมทั้งตัวรถจะมีขนาดใหญ่ แต่ในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ของ MINI Countryman ใหม่นี้จะมีค่าสัมประสิทธิ์การลากที่ 0.26 cd (สำหรับรุ่นระบบไฟฟ้า) ซึ่งดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนที่มีค่าสัมประสิทธิแรงต้าน 0.31 cd
ภายในห้องโดยสารจะได้รับการออกแบบที่เน้นความเรียบง่าย มากขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า พร้อมลดปุ่มควบคุมสั่งงานต่าง ๆ อีกทั้งยังใช้วัสดุสิ่งทอตกแต่งภายใน
ในส่วนแผงแดชบอร์ดจะมากับหน้าจอ OLED ขนาด 9.4 นิ้ว ที่ติดตั้งอยู่ตรงกลาง ทำงานเป็นทั้งหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่และจออินโฟเทนเมนท์ พร้อมระบบปฏิบัติการ MINI Operating System 9 ที่สามารถควบคุมฟังก์ชันต่างๆ มาพร้อมระบบสั่งงงานด้วยเสียงที่เรียกว่า Spike รวมทั้งได้รับหน้าจอ HUD
ขณะที่คอนโซลกลางจะมากับชุดควบคุมสั่งงานภายในที่เป็นแบบสวิตช์ 5 ตัว ที่ใช้การควบคุมฟังก์ชันการขับขี่ที่สำคัญ ได้แก่ เบรกมือ, ตำแหน่งเกียร์, ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์, ปุ่มเลือกโหมดการขับขี่ และปุ่มควบคุมระดับเสียง
นอกจากนั้นผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอังกฤษยังกล่าวว่า Countryman เป็น MINI ที่ใหญ่ที่สุด และกว้างขวางที่สุด โดยเบาะที่นั่งด้านหลังสามารถเลื่อนไปมาได้ 13 ซม. ในขณะที่เบาะหลังด้านหลังสามารถปรับได้ 6 ตำแหน่ง
มาพร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายที่มีควรามจุ 460 ลิตร แต่เมื่อพับเบาะหลังลงจะเพิ่มพิ่นที่ได้มากถึง ถึง 1,450 ลิตร มาพร้อมช่องเก็บของใต้พื้นเพิ่มเติม
ในด้านพละกำลังขับเคลื่อนของ All-new MINI Countryman จะยังคงมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล พร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อนสี่ล้อ ALL4
โดยไฮไลท์จะอยู่ที่ขุมพลังไฟฟ้า โดยใยรุ่น Countryman E มากับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 8.6 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 170 กม./ชม.
ส่วนในรุ่น Countryman SE ALL4 จะได้ระบการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าแบบคู่ ให้กำลัง 313 แรงม้า มาพร้อมแรงบิดรวมสูงสุด 494 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 5.6 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 180 กม./ชม.
สำหรับชุดแบตเตอรี่ทั้งสองรุ่นจะมีขนาดความจุอยู่ที่ 66.45 kWh โดยในรุ่น Countryman E จะวิ่งได้ระยะทางสูงุสด 462 กม. ส่วนในรุ่น Countryman SE ALL4 เมื่อชาร์จไฟเต็มจะมีระยะทางอยู่ที่ 433 กม.
ซึ่งทั้ง 2 รุ่น รองรับการชาร์จแบบ DC ด้วยกำลังไฟสูงสุด 130 kW ให้กำลังไฟจาก 10-80% ในเวลาต่ำสุดไม่ถึง 30 นาที ขณะเดียวกันก็รองรับการชาร์จไฟกระแสสลับ AC ขนาด 22 kW
ทั้งนี้ All-new MINI Countryman 2024 มีกำหนดเริ่มเดินสายการผลิตที่โรงงานในเมืองไลป์ซิก ประเทศเยอรมนี ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป
ด้านราคาจำหน่ายของ MINI Countryman 2024 ยังไม่มีการเปิดเผยออกมา มีเพียงข้อมูลเปิดเผยออกมาว่าตัวรถจะผลิตที่โรงงาน BMW Group ในเมืองไลพ์ซิก ประเทศเยอรมนี โดยจะเริ่มเดินสายการผลิตในเดือนพฤศจิกายน 2023 นี้
