เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาทาง NETA Auto แบรนด์ผู้ผลิตรถจากประเทศจีนได้เปิดตัวประกาศราคาจำหน่าย NETA L รถเอสยูวีใหม่ที่มากับขุมพลัง EREV
ล่าสุดทางผู้ผลิตรถจากจีนก็เปิดราคาจำหน่ายของ NETA L เวอร์ชันที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ตามออกมาแล้วในตลาดเมืองจีน กับราคาจำหน่ายเริ่มที่ 139,900 หยวน หรือคิดเปเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 7.07 แสนบาท
โดยความน่าสนใจของ NETA L EV จะเป็นรถเอสยูวีครอสโอเวอร์ไฟฟ้าแบบ 5 ที่นั่ง ถูกสร้างขึ้นบนสถาปัตยกรรมใหม่ของ Shanhai 2.0 ที่ใช้ร่วมกันกับ NETA S และ NETA GT มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าตัวเดียวที่วางอยู่คู่ล้อหลังให้กำลัง 227 แรงม้า จับคู่กับแบตเตอรี่ Shenxing LFP ของ CATL ชาร์จไฟเต็มวิ่งได้ระยะทางไกลสุด 510 กม.
ในงานด้านออกแบบตัวรถของ NETA L เวอร์ชันไฟฟ้า 100% จะเหมือนกับในรุ่น EREV ทุกมุมมมอง ไม่ว่าจะเป็นชุดไฟหน้าทรงสามเหลี่ยม โดยทางเนต้าเคลมไว้ว่าชุดไฟหน้าจะมีความสว่างที่กว้างมากถึง 3.37 ตารางเมตร มาหลังคาหลังด้านท้ายออกแบบให้มีความลาดเทนิด ๆ มือจับประตูแบบซ่อนไปกับตัวรถ
แต่สิ่งที่จะหายไปนั้นก็คือช่องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ด้านหลังฝั่งซ้ายของตัวรถ โดยจะมีเพียงเต้าชาร์จไฟจะอยู๋ที่ตำแหน่งด้านหลังขวาของตัวถัง ซึ่งก็หมายความว่าเอสยูวีตัวใหม่นี้จะถูกติกตั้งมอเตอร์ไฟฟ้่าไว้ที่เพลาคู่หลัง
ขณะที่ชุดไฟท้ายจะเป็นแถบ LED เพรียวบางเชื่อมต่อกันตลอดแนวพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แนวตั้งบริเวณสปอยเลอร์หลัง พร้อมติดตั้งที่ปัดน้ำฝนหลังมาให้ด้วย
ชุดล้ออัลลอยจะมีให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ 18 นิ้ว ที่รัดด้วยยางขนาด 225/60 R18 และ ขนาด 19 นิ้ว ซึ่งรัดด้วยยางขนาด 225/55 R19 โดยงานออกแบบโดยรวมจะจะเน้นในเรื่องระบบแอร์โรไดนามิคเพื่อลดแรงต้ายอากาศ ส่งผลทำให้ NETA L มีค่าสัมประสิทธิ์การลากอยุ๋ที่ 0.258Cd
ในด้านมิติขนาดตัวรถของ NETA L EV จะมีความยาว 4,770 มม. กว้าง 1,900 มม. สูง 1,660 มม. และมีระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,810 มม.
ภายใน NETA L EV จะมี 2 เฉดสีให้เลือก ได้แก่ สีขาว Mousse White และสีน้ำตาล Maillard Brown ในรุ่นเริ่มต้นจะได้รับหน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว และหน้าจอ LCD ขนาดเล็กติดตั้งอยู่ด้านหลังพวงมาลัยรูปตัว D มาพร้อมคันเกียร์ที่อยู่หลังพวงมาลัย คอนโซลกลางจะมากับช่องวางแก้วน้ำ 2 ช่อง และแท่นชาร์จสมาร์ตโฟนไร้สาย
ส่วนในรุ่นท๊อปแผงแดชบอร์ดจะมากับหน้าจอถึง 3 จอด้วยกัน ประกอบไปด้วย หน้าจอคู่ขนาดใหญ่ 15.6 นิ้ว ที่วางแบบบลอยตัวสำหรับควบคุมสั่งงานส่วนกลาง เชื่อมต่อกับหน้าจออินโฟรเทนเมนต์สำหรับผู้โดยสารตอนหน้า มีความละเอียดระดับ 2K พร้อมขับเคลื่อนโดยชิป Qualcomm Snapdragon 8155 มาพร้อมกับระบบเสียงและ VDO ของ NETA Sky Theater ทำงานร่วมกับลำโพงรอบทิศทาง 16 ตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ โหมดงีบหลับ, โหมดสปา, โหมดแคมป์ปิ้ง, โหมดกลางแจ้ง, โหมดคาราโอเกะ และโหมดสัตว์เลี้ยง
ในส่วนตัวเบาะที่นั่งจะมากับระบบ Welcome Seat เบาะคู่หน้าจะปรับพับด้วยไฟฟ้า มาพร้อมที่วางรองน่อง อีกทั้งยังมาพร้อมกับฟังก์ชั่นสปาโหมด ที่กดเพียงปุ่มเดียวที่ตัวเบาะ ก็จะสามารถปรับพับเอนนอนได้
อีกทั้งในส่วนคอนโซลกลางระหว่างเบาะคู่หน้าจะ้เป็นช่องเก็บควาามเย็นที่มีขนาด 6.6 ลิตร และยังได้รับถาดแบบพับเก็บได้ที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังเบาะหน้า
สำหรับพื้นที่เก็บของด้านท้ายจะมีความจุ 583 ลิตร ต่อเมื่อพับเบาะคู่หลังลงจะเพิ่มพื้นที่ได้มากถึง 1,434 ลิตร อีกทั้งยังมีช่องเก็บของด้านหน้าเมื่อยกฝากระโปรงหน้าขึ้น เพราะตัวรถถูกถอด และยกเครื่องยนต์ออกไป ด้านประตูด้านท้ายจะเป็นแบบไฟฟ้าที่สามารถกดเปิดประตูจากภายนอกได้โดยมีปุ่มติดตั้งไว้ที่ฐานของชุดใบปัดน้ำฝน
ในด้านระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือการขับขี่ต่าง ๆ มีการติดตั้งเรดาร์คลื่น 5 มิลลิเมตร ที่มาพร้อมกับกล้องหน้าและกล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 360 องศา 4 ตัว เรดาร์อัลตราโซนิก 12 ตัว กล้องระบบติดตามผู้ขับขี่ รวมถึงติดตั้งฟังก์ชันช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูงของ Neta AD ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยจอดรถ, ระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับได้ และระบบช่วยรถอยู่ในเลน เป็นต้น
สำหรับขุมพลังของ NETAL EV จะได้รับการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าไว้ที่พลาคู่ล้อหลังให้กำลัง 170 kW (227 แรงม้า) แรงบิดสูงสุดถึง 310 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ในเวลา 7.6 วินาที จับคู่กับชุดแบตเตอรี่ Shenxing LFP ของ CATL ขนาด 68 kWh ขชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้งวิ่งได้ระยะทางไกล 510 กม. พร้อมรองรับการชาร์จไฟแบบ DC ที่จะให้กำลังไฟจาก 10% – 80% ในเวลา 21 นาที
NETA L EV ที่เปิดวางจำหน่ายในตลาดเมืองจีนจะมีให้เลือก 3 เกรด โดยทางเนต้าเปิดราคาจำหน่ายไว้ระหว่าง 139,900 – 162,900 หยวน หรือตีเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 7.07 – 8.22 แสนบาท ซึ่งมีราคาสูงกว่า NETA L เวอร์ชัน EREV ที่มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 129,900 – 159,900 หยวน หรือราว 6.5 – 8.07 แสนบาท
โดย NETA L ทั้งเวอร์ชั่น EV และ EREV นั้นคาดวาจะเป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่มีลุ้นเข้ามาจำหน่ายในตลาดเมืองไทย แต่คงไม่ใช่ในเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งคาดว่าเร็วสุดว่าน่าจะเป็นในช่วงปี 2568