หลังจากที่ทาง GWM ได้เปิดโรงงาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) ที่จังหวัดระยอง ชวน และพาสื่อมวลชน ในหลากหลายแขนงเข้าไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า New GWM ORA Good Cat รถ EV คันแรกจากประเทศจีนที่ถูกผลิต และประกอบในประเทศไทย นอกจากนั้นยังสร้างความฮือฮาด้วยการประกาศราคาจำหน่ายของ New GWM ORA Good Cat รุ่นผลิตไทยด้วยราคาที่ถูกลงกว่าเดิม โดยเฉพาะในรุ่น Top ไลน์อย่างตัว ORA Good Cat รุ่น GT ที่มาราคาลดลงไป 1 แสนกว่าบาท โดยแต่ละรุ่นมีราคาดังนี้
โดยมีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อยคือ
- รุ่น PRO ราคา 799,000 บาท จากเดิม 828,500 บาท
- รุ่น ULTRA ราคา 899,000 บาท จากเดิม 899,000 บาท
- รุ่น GT ราคา 1,099,000 บาท จากเดิม 1,286,000 บาท
ออปชั่นแตกต่างจากรุ่นนำเข้าเดิมอย่างไร
ซึ่งนอกจากที่จะปรัลราคาลงแล้วยังได้ ปรับเปลี่ยน เพิ่มออปชั่นในหลาย ๆ จุด บนตัวรถ โดยจุดใหญ่เริ่มจาก ปรับเปลี่ยนสเปคจากแบตเตอรี่ CATL ที่ติดกายมาจากประเทศจีน เปลี่ยนมาเป็นชุดแบตเตอรี่ LFP Short Blade ที่เหมือนกับในตัว ORA 07 ที่ผลิตจากโรงงาน SVOLT ในประเทศไทย โดยในทุกรุ่นจะมีขนาดไซส์เดียวที่ 57.7 kWh ซึ่งจากเดิมในรุ่น 400 จะมีขนาด 47.7 kWh ส่วนในรุ่น 500 และ GT จะมีขนาดความจุที่ 63.1 kWh
โดยชุดแบตเตอรี่ใหม่นี้จะสามารถรองรับการเดินทางได้ 480 กม. สำหรับ ORA Good Cat รุ่น Pro และรุ่น Ultra (NEDC) สำหรับในรุ่น GT ที่มีพละกำลังมอเตอร์ที่มากกว่าจะวิ่งได้สั้นกว่าเล็กน้อยยู่ที่ 460 กม.
นอกจากนี้ยังได้ย้ายชุดเกียร์จากเดิมที่อยู่บริเวณคอนโซลกลาง ไปเป็นแบบก้านเกียร์ที่อยู่ด้านหลังพวงมาลัย
รวมทั้งในส่วนของแท่นชาร์จ Wireless Charging ที่อัพพลังการชาร์จให้เร็วขึ้นจากเดิมที่มีกำลังอยู่ที่ 15 W อัพขึ้นมาเป็น 50W โดยจะอยู่ที่คอนโซลกลาง และจะมีไว้สำหรับรุ่น ULTRA และ GT เท่านั้น
ปิดท้ายด้วยการเพิ่มระบบ V2L หรือ เทคโนโลยี Vehicle to Load ที่จะช่วยเจ่ายพลังงานจากรถ EV ให้แก่อุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอกตัวรถ โดยจะมีกำลังไฟอยู่ที่ 3.3 kW และจะมีสำหรับในรุ่น ULTRA และ GT
และหลังจากจากที่เปิดราคา และเปิดตัวอย่างเป็นทางการไม่นานนักทาง เกรท วอลล์ มอเตอร์ ก็ได้จัดทริปเชิญนักข่าวสายยานยนต และอินฟลูต่าง ๆ เข้ารวมทดสอบ สมรรถนะของ New GWM ORA Good Cat ตัวประกอบไทย โดยจัดเป็นทริปสั้น ๆ กทม.ไป- กลับ สระบุรี ในระยะทาง 300 กม. นิด ๆ เพื่อให้ลองถึงชุดแบตเตอรี่ตัวใหม่ว่าของ New GWM ORA Good Cat รวมถึงจัดให้ได้ทดสอบระบบตัวให่ของแมวเหมียวไฟฟ้าอย่างระบบ V2L
เข้าโหมดทดสอบขับ New GWM ORA Good Cat รุ่น PRO
สำหรับในทริปนี้จะมี New GWM ORA Good Cat รุ่นประกอบไทยมาให้ทดลองขับครบทั้ง 3 ไลน์ แต่จะต้องเผ้นการจับสลากว่าใครจะได้รุ่นไหน โดยทางทีมงาน Autostation.com จับได้ในรุ่น รุ่น PRO ซึ่งเป็นรุ่นเริ่มต้นราคา 799,000 บาท ซึ่งก่อนจะไปทดลองขับเรามาดูพละกำลังของแต่ละรุ่นว่าเป็นอย่างไร รวมทั้งรายละเอียดตัวรถกันก่อนสักเล็กน้อย
ขุมพลัง New GWM ORA Good Cat
- รุ่น PRO และ ULTRA ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุดจะถูกกำจัดไว้ที่ 160 กม./ชม. มาพร้อมชุดแบตเตอรี่ LFP ขนาด 57.7 kWh วิ่งได้ระยะทางไกลสูงสุด 480 กม.ต่อหนึ่งการชาร์จ (NEDC)
- รุ่น GT ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลังสูงสุด 171 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุดจะถูกกำจัดไว้ที่ 160 กม./ชม. เช่นกัน มาพร้อมชุดแบตเตอรี่ LFP ขนาด 57.7 kWh วิ่งได้ระยะทางไกลสูงสุด 460 กม. ต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง (NEDC)
ดีไซน์ยังคงความน่ารักตะมุตะมิเหมือนเดิม
การออกแบบภายนอก มีความน่ารักสวยงาม ทันสมัย แต่แฝงไปด้วยความคลาสสิคสไตล์ Retro Futuristic ไฟหน้าทรง Cat Eye แบบ LED เต็มรูปแบบ พร้อม Daytime Running Light ดูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ มาพร้อมไฟ Follow Me Home ชุดไฟท้าย LED แบบ Tail light Strip มาในดีไซน์ที่พาดยาวเต็มพื้นที่ มาพร้อมไฟเบรคดวงที่ 3 และไฟตัดหมอกหลังแบบ LED
กระจังหน้าดีไซจ์นเรียบง่ายคลาสสิค พร้อมระบบ Active Air Intake ล้ออัลลอยทูโทนปัดเงา โดยในรุ่น PRO และ ULTRA จะมีขนนาด 17 นิ้ว ส่วนในรุ่น GT จะมีขนาด 18 นิ้ว ในด้านมิติตัวรถ 1,825×4,235×1,596 มม. (กว้างxยาวxสูง) ระยะฐานล้อ 2,650 มม.
ภายในห้องโดยสาารมาพร้อมงานออกแบบที่ประณีตพร้อมดึงดูดทุกสายตา โดดเด่นทุกสัมผัสด้วยหน้าจอ Interactive Double Screen หน้าจอพาดยาวบริเวณคอนโซลของตัวรถ ขนาด 17.25 นิ้ว ที่มีความละเอียดสูง โดยแยกเป็นหน้าจอสำหรับแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว ผสานกับหน้าจอมัลติมีเดียแบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว
ชุดคอนโซลกลางมีการออกแบบใหม่เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้มากขึ้น พร้อมติดตั้ง Wireless Charger ที่อัปเกรดใหม่ จ่ายกระแสไฟฟ้าได้มากถึง 50 W เพื่อการชาร์จที่รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มช่องต่อ USB ทั้ง Type A และ C สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า เพื่อตอบโจทย์ทุกการใช้งานได้อย่างลงตัว
New GWM ORA Good Cat ยังมาพร้อมเกียร์อัตโนมัติใหม่ แบบก้านด้านข้างพวงมาลัย ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนและควบคุมการขับขี่ได้สะดวกยิ่งขึ้น พร้อมกับหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ เพื่อเพิ่มพื้นที่แสงสว่าง และเปิดมุมมองรับชมวิวทิวทัศน์ได้มากยิ่งขึ้น
ลองเส้นทางจริงจาก กทม. ไปกลับสระบุรี ระยะทาง 200 กม. นิด ๆ
ในด้านการขับขี่นั้น ด้วยขนาดกะทัดรัด และทัศนวิสัยโปร่งโล่งรอบคัน บวกกับอัตราเร่งที่ยอดเยี่ยม ยังคงทำให้ New GWM ORA Good Cat สมารถซอกแซกบนถนนรามอิินทราที่เป็นแหล่งปล่อยตัวได้อย่างง่ายดาย เรียกได้ว่าการคสบคุมในเมืองรั้รทำได้อย่างคล่องแคล่ว
พวงมาลัยสามารถปรับระดับได้โดยจะต้องมาในโหมดสปอร์ตถึงจะมีน้ำหนักที่ดี ถ้ายังอยู่ในโหมดปกติจะมีน้ำหนักที่เบามือ ขณะที่ช่วงล่างก็สามารถลดแรงสั่นสะเทือนขณะวิ่งผ่านถนนขรุขระได้ในระดับที่น่าพอใจ อาจไม่ถึงกับนุ่มนวลนัก
หลังจากออกจากความวุ่นวายในเมืองยามเช้า ก็มุ่งหน้าบนทางพิเศษซึ่งต้องบอกว่าในรุ่น PRO นั้นจะไม่มีความแตกต่างจากรุ่น ULTRA ที่มีราคาแพงกว่า 1 แสนบาท ทั้งในส่วนของมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ อัตราเร่งตอบสนองได้ทันใจในทุกความเร็ว สไตล์รถยนต์ไฟฟ้าที่กดปุ๊บมาปั๊บ แต่ก็ไม่ถึงกับประเภทหลังติดเบาะ
นอกจากนั้นในช่วงนี้จะสามารถปรับมาเล่นโหมดการขับขี่ได้ตามความต้องการ โดย New GWM ORA Good Cat ทั้งในรุ่น PRO และ ULTRA จะมีโหมดให้เลือกถึง 5 โหมดด้วยกัน ซึ่งจะแตกต่างจากในรุ่น GT ที่เพิ่มมาให้อีกหนึ่งโหมดคือ INDIVIDUAL
สำหรับการปรับโหมดนั้นจะต้องเข้าไปปรับตั้งค่าที่บนหน้าจอซึ่งจะเป็นอะไรที่ยุ่งยากพอสควร เพราะเหตุที่จะขับไปปรับไปนั้นก็จะดูไม่สมเหตุมสควร อีกทั้งยังก่อให้เกิดอันตรายได้ (นั้นนี้ตามความคิดส่วนตัวของผู้เขียน น่าจะยกออกมาให้อยู่ในจุดที่สามารุปรับ และใช้งานได้ง่ายจะดีกว่า รวมทั้งระบบเบรกมือไฟฟ้าที่ต้องเข้าไปสั่งงานที่หน้าจอ)
โดยในเริ่มจากในโหมด Eco ตัวคันเร่งเมื่อกดลงไปแล้วก็ไม่ถึงกับติดเท้า ต้องรอจังหวะ เหมาะกับการใช้งานในเมือง
พอขยับเปลี่ยนมาในโหมด Eco+ ซึ่งเป็นโหมดที่ประหยัดพลังงานที่สุดตามชื่อ โดยตัวรถจะเน้นความประหยัดพลังงานเพื่อเซฟไฟในชุดแบตเตอรี่ ซึ่งน่าจะเหมาะกับการขับขี่ที่ต้องการไม่รีบเร่ง ไปเรื่อย ๆ
โหมด Normal จะมีพละกำลังที่มากขึ้นมานิดหน่อยจากโหมด Eco แต่ถ้าเป็นสายซิ่งก็คาดว่าคงไม่ถูกจริตกับในโหมดนี้
โหมด Sport ซึ่งเป็นโหมดที่แรงที่สุดของแมวเหมียวไฟฟ้า เหมาะสำหรับสายซิ่ง โดยเพียงกดคันเร่ง ตัวรถก็จะพุ่งทยานให้ทันที่ ตัวรถจะขึ้นไปแตะที่ 160 กม./ชม. ในเวลาอันรวดเร็ว (แต่ก็สุดที่ 160 เพราะตัวรถจะถูกจำกัดความเร็วเอาไว้) โดยจะมีความรู้สึกที่แตกต่างจากทุก ๆ โหมดที่ลองมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อความเร็วมา ก็ต้องแลกด้วยพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่ที่ลงลงอย่างรวดเร็ว
ปิดท้ายด้วยโหมด Auto โดยในโหมดนี้ ซึ่งโหมดส่วนตัวชอบ เพราะรถจะเลือกโหมดการขับขี่ให้เองอัตโนมัติ หากเห็นว่าช่วงนั้นเราต้องการอัตราเร่ง ระบบจะปรับไปโหมดสปอร์ตให้อัตโนมัติ รวมถึงเมื่อเราขับช้าระบบก็จะปรับไปที่โหมด ECO ให้โดยอัตโนมัติด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้แมวเหมียวไฟฟ้ารุ่นประกอบไทยยังมีระบบ ระบบคันเร่งอัจฉริยะ หรือที่เราเรียกกันว่า One Pedal หรือการกู้คืนพลังงานเข้าแบตเตอรี โดยเมื่อทำการถอนคันเร่ง จะทำให้รถเกิดการหน่วงชะลอตัว ซึ่งในตอนนี้ตัวมอเตอร์จะทำการรีเจนไฟ กลับไปเก็บไว้ยังแบตเตอรี่ เพื่อช่วยให้แบตเตอรีนั้นมีพลังงานเพิ่มขึ้น และช่วยทำให้ตัวรถมีระยะทางการเเดินทางที่เพิ่มขึ้น
ช่วงล่างปรับนิดหน่อย ให้ความนุ่มนวล
ในด้านระบบช่วงล่างของ New GWM ORA Good Cat ยังคงมากับช่วงล่างด้านหน้าแบบ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง ช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบ Torsion Beam พร้อมเหล็กกันโคลง ในช่วงความเร็วต่ำ ช่วงล่างถูกปรับเซทให้แข็ง สามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากรอยต่อถนนได้ดี ให้ความนุ่มนวลในระดับหนึ่ง ตัวรถจะมีโคลงเคลงบ้างในช่วงเข้าโค้ง รวมทั้งมีอาการเซ ๆ นิด นิด ในย่านความเร็วสูง
ส่วนในเรื่องของเสียงรบกวนนั้นต้องบอกว่ายังคงเนียน และดีเช่นเดิม จะมีบางก็เป็นเพียงเสียงยางที่บนกับท้องถนน รวมทั้งเสียงของลมเล็กน้อยในช่วงความเร็วที่เกิน 120 กม./ชม.
ระบบความปลอดภัยถึงแม้จะเป็นรุ่นเริ่มต้นก็จัดมาให้แบบเต็ม
ในด้านระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือการขับขี่นั้น ถึงแม้ว่าตัวรถจะเป้นเพียงในรุ่น PRO แต่ก็ไม่ด้อยไปกว่าในรุ่น ULTRA โดยจะมีมาให้ทั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ, ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินที่ความเร็วต่ำ, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน, ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน, ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน,ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง, การเข้าโค้งอัจฉริยะ, ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน, ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการเกิดการชนซ้ำครั้งที่ 2, ระบบตรวจวัดแรงดันลมยาง, กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะมาพร้อมกล้องติดรถยนต์ โดยจะแตกต่างจากรุ่น ULTRA ตรงไม่มีระบบช่วยจอดอัฉริยะ 3 แบบ ที่ระบบจะใช้เซนเซอร์ และกล้องในการตรวจสอบเพื่อตรวจจับวัตถุ และเครื่องหมายบริเวณช่องจอดหรือจุดจอดรถ พร้อมช่วยทำงานเต็มรูปแบบเพื่อเข้าจอด ทั้งแนวตั้ง แนวนอน หรือแนวเฉียง โดยเมื่อระบุช่องว่างที่จะนำรถเข้าจอดแล้ว รถจะทำการจอดด้วยตัวเองด้วยการควบคุมพวงมาลัย เบรก และคันเร่งเท่านั้น
แบตเตอรี่ชาร์จเต็ม วิ่งได้เท่าไหร่
สำหรับในทริปนี้ ตอนออกจากโชว์รูม GWM ICONIC รามอินทรา กม. 7 มีระดับไฟของแบตเตอรี่อยู่ที่ 97% พอขับไปถึง The Barnery จ.สระบุรี เมื่อดูระดับไฟบนแบตเตรี่คงเหลือ 69% จากระยะทางวิ่งประมาณ 105 กม. พอในช่วงขากลับกับระยะทางอีก 100 กว่า กม. มาถึง GWM ICONIC ที่เป็นจุดสตาร์ท ปริมาณแบตเหลืออยู่ราว ๆ 42% (ขึ้นอยู่ตอนขับขี่ว่าเหยียบมากน้อยขนาดไหน.) โดยมีระยะทางคงเหลือขับอยู่ที่ราว ๆ 210 กม. ซึ่งก็ถือว่าใกล้เคียงกับตัวเลขที่ทางโรงงานเคมมาไว้ให้
ระบบ V2L ใช้งานได้จริง
นอกจากนั้นเมื่อไปถึง The Barnery ทาง GWM ก็ได้จัดสถานที่ให้ได้ทดสอบ และรองระบบ V2L ที่ติดตั้งอยู่ในรุ่น ULTRA และ GT โดยได้ทำการต่อเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้ง, กีต้าร์, คีย์บอรด์, ตู้แอมปฺ, ตู้แช่น้ำเย็น ซึ่งมีกำลังไฟรวมอยู่ที่ 2,000 W ซึ่งระบบ Vehicle to Load ที่อยู่บนตัว New GWM ORA Good Cat จะจ่ายพลังงานจากรถ EV ให้แก่อุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอกตัวรถ ด้วยกำลังไฟที่ 3.3 kW โดยเมื่อแบตเตอรี่มีกำลังไฟอยู่ที่ 90% จะสามารถใช้งานได้เป็นเวลา 2 วัน
นอกจากนี้ถ้าต่อชุดอุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอกเกินกำลังของระบบ ตัวรถจะทำการตัดการทำงานทันที่ อีกทั้งเมื่อเปิดระบบ V2L ใช้งานอยู่นั้น ตัวรถจะไม่สามารถเปิดระบบปรับอากาศทำความเย็นภายในห้องโดยสารได้
บทสรุป
New GWM ORA Good Cat ยังคงเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ดูน่ารัก และขับสนุก อัตราเร่งก็ไม่ดูจะขี่เหร่เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มาจากบ้านเดียวกัน
นอกจากนี้ถึงแม้จะเป็นรุ่น PRO แต่เมื่อเทียบกับราคาที่ถูกลง และได้แบตเตอรี่ลูกใหญ่ขึ้น เทียบเท่ากับในรุ่น ULTRA ที่วิ่งได้มากถึง 480 กม. และยังมากกว่ารุ่นนำเข้ามาที่วิ่งได้เพียง 400 กม. อันนี้ถือว่าดีงาม เพราะรถยนต์ไฟฟ้านั้น ถ้าจะวัดกันก็คงต้องดูในเรื่องของระยะทางวิ่งเป็นข้อแรก ๆ ในการเลือก
แต่สิ่งที่สุญเสียไปคือการที่จะไม่ได้ในส่วนของแท่นชาร์จไร้สาย, ระบบ V2L และระบบช่วยจอดอัฉริยะ 3 แบบ ซึ่งถ้าอยากได้ส่วนนี้ก็ต้องเพิ่มเงินขึ้นมาอีก 1 แสนบาท แต่ถ้ายังต้องการสิ่งที่แตกต่างเพิ่มขึ้นไปอีกนั้นก็คงต้องหันไปดูในตัว GT ที่จะได้ทั้งความเร้าใจเพิ่มากขึ้น ออปชั่น และระบบช่วยเหลือตาง ๆ มาแบบเต็มพิกัด แต่ก็ต้องแลกด้วยเม็ดเงินที่อยู่ในระดับ 1,099,000 บาท อันนี้ก็ต้องไปนั่งคบคิดกันว่าอันไหนจะตอบโจทย์ของรถไฟฟ้าที่คุณ ๆ อยากได้
ได้ทั้งหมดทั้งมวล ควรเข้าไปลอง และสัมผัสด้วยตัวเองจะดีที่สุดเพราะคุณจะได้รับรู้ว่าคันนี้มันใช่สำหรับคุณหรือไม่
