Nissan Almera เป็นรถซีดาน Eco Car (อีโคคาร์) ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากหลังจากที่เปิดตัวครั้งแรกในตลาดเมื่อไทยตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา หลังจากนั้นปี 2014 ก็ได้ปรับแต่งโฉมเพิ่มเติมให้ดูสปอร์ต โฉบเฉี่ยวขึ้นด้วยรุ่น Sportech จนมาในปี 2016 ก็ได้รับการติดตั้งชุดแต่ง Nismo ซึ่งถือว่าเป็นรถรุ่นแรกในไทยที่ได้รับชุดแต่ง Nismo
ต่อเนื่องจนมาถึงในปี 2019 Nissan Almera (นิสสัน อัลเมร่า) ก็ปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ ที่สำคัญยังมาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์ 1.0 เทอร์โบ ซึ่งเป็นรถรุ่นแรกในไทยและเอเชีย ที่มากับขุมพลังที่เล็ก แต่แรง และเมื่อปี 2019 ก็เพิ่มชุดแต่ง Sportech ที่มาพร้อมความสปอร์ต และพรีเมียม
จนมาล่าสุดในปี 2023 นี้ Nissan Almera จึงได้ทำการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่อีกครั้ง ที่เพิ่มลุคให้ดูโมเดิร์น มากยิ่งขึ้น โดย Nissan Almera รุ่นไมเนอร์เชนจ์ 2023 ในตลาดเมืองไทยรุ่นล่าสุดนี้ อิงหน้าตามาจากเวอร์ชั่นที่เปิดตัวในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2022 ที่ผ่านมา
ตัวรถจะได้รับการออกแบบใหม่่โดยเฉพาะในส่วนด้านหน้า กระจัง V-motion แบบใหม่ หรือ Next Generation V-Motion ที่ถูกออกแบบให้สะท้อนพลัง ความลื่นไหลปราดเปรียว สะดุดตาแม้จะมองจากกระยะไกล ด้านในออกแบบให้เป็นตะแกรงแนวนอนสีดำพร้อมตกแต่งด้วยเส้นโครเมียม นอกจากนั้นในส่วนที่ปลายทั้ง 2 ด้านก็เสริมความหรูหราด้วยโครเมียมเช่นกัน อีกทั้งยังมาพร้อมโลโก้ Nissan แบบใหม่ที่ตรงกลาง
ขนาบข้างด้วยชุดไฟหน้า LED ที่ยังคงมาในรูปทรงเดิมที่โฉบเฉี่ยว ในส่วนชายกันชนด้านหน้าดีไซน์ใหม่มาพร้อมช่องรับอากาศที่ใหญ่ขึ้น เสริมความสปอร์ตมากขึ้นด้วยล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว
นอกจากนั้นยังมากับสีใหม่แบบทูโทน “เกรย์ สกาย เพิร์ล หลังคาสีดำ” โดยในเฉดสีใหม่นี้จะเหมือนเปลี่ยนเฉดไปได้ตามช่วงเวลา และมุมที่มอง โดยจะออกเงาเฉดสีม่วง เมื่อมองในขณะที่แสงน้อย แต่จะออกโทนสีฟ้ามากขึ้นถ้าอยู่ในที่ที่มีแสงแดดจัด และเมื่อมองจากระยะไกลจะเห็นเป็นสีทึบ แต่ถ้าเข้ามาใกล้จะมองเห็นเงาประกายมุกที่ซ่อนอยู่ ซึ่งทำให้สีของภายนอกมีสีเหลือบหลายเฉด ขณะที่ในส่วนด้านท้ายของตัวรถนั้นยังคงดีเทลในรูปแบบเดิม
ภายในห้องโดยสารของ Nissan Almera ได้รับการอัปเกรดใหม่ให้ทันสมัยขึ้น ภายในบุด้วยวัสดุแบบบุนุ่มให้หลาย ๆ จุด แผงแดชบอร์ฺดยังคงมากับมาตรวัด TFT ขนาด 7 นิ้ว มาพร้อมหน้าจออินโฟเทนเมนท์แบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Android Auto และ Apple CarPlay รวมทั้งยังสามารถใช้ระบบนำทางผ่าน Google Map
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบท้ายตัดมาพร้อมโลโก้ Nissan ใหม่ตรงกลาง มาพร้อมเทคโนโลยีควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ที่ทำให้ทุกการเดินทางระยะไกลสะดวกสบายไม่เหนื่อยและยังสามารถควบคุมได้อย่างง่ายดาย กุญแจ Keyless Entry อัจฉริยะดีไซน์ใหม่ทันสมัย, แท่นชาร์จสมาร์จโฟนแบบไร้สาย และกุญแจรีโมทอัจฉริยะดีไซน์ใหม่ทันสมัย
เบาะที่นั่งคู่หน้าพรีเมียม QUOLE MODURE ไม่สะสมความร้อนแม้ในการเดินทางไกล ด้านหลังปรับพับแยกแบบ 60:40 ส่วนที่เก็บสัมภาระทางด้านหลัง ออกแบบมาให้กว้างขวาง สามารถบรรจุของชิ้นใหญ่ เช่น ถุงกอล์ฟ กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้สบาย
นอกจากนี้ Nissan Almera รุ่นปรับโฉมใหม่ ยังได้รับการติดตั้งแอปพลิเคชัน NissanConnect Services ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสื่อสาร และควบคุมรถได้จากระยะไกลผ่านสมาร์ทโฟน เพิ่มความสะดวก ปลอดภัย และขอความช่วยเหลือได้ทันทีเมื่อมีเหตุฉุกเฉินด้วยกดปุ่ม SOS ภายในรถ
ในด้านเทคโนโลยี และระบบความปลอดภัย คาดยังคงมาแบบจัดเต็มด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยใหม่ใน 360° SAFETY SHIELD ไม่ว่าจะเป็น
- เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย
- เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองรอบทิศทาง
- ระบบตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน
- เทคโนโลยีช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้า
- เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา
- เทคโนโลยีช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน
- ถุงลมนิรภัย SRS 6 จุดทุกรุ่นย่อย
- เทคโนโลยีควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ
- เทคโนโลยีเบรกป้องกันล้อล็อก
- ระบบกระจายแรงเบรก
- เทคโนโลยีเสริมแรงเบรก
นอกจากนี้นับเป็นครั้งแรกในเซกเมนท์คอมแพคซีดานที่จะได้รับ
- เทคโนโลยีเซนเซอร์ตรวจสอบแรงดันลมยาง
- เทคโนโลยีเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ
- เทคโนโลยีแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง
ด้านพละกำลังยังคงมากับเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร เทอร์โบ ที่ให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้า มาพร้อมแรงบิดสูงสุด 152 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ XTRONIC CVT พร้อม D-Step Logic
Nissan Almera ใหม่จะมีให้เลือก 4 รุ่น ได้แก่ E, EL, V และ VL และมีทั้งสีแบบสีเดียวทั้งคัน (ทุกรุ่น) และสีทูโทน (เฉพาะรุ่น VL)
- สีขาวสตอร์ม ไวท์ Storm White: ทุกรุ่น
- สีแดงเรเดียนท์ เรด Radiant Red: รุ่น VL, V, EL
- สีดำแบล็ค สตาร์ Black Star: ทุกรุ่น
- สีเทากัน เมทาลิค Gun Metallic: ทุกรุ่น
- สีน้ำเงินไนท์ บลู Night Blue: รุ่น VL, V และ EL
- สีเทาเกรย์ สกาย เพิร์ล Gray Sky Pearl: รุ่น VL และ V
และสีทูโทนสำหรับรุ่น VL : สีเทา เกรย์ สกาย เพิร์ล หลังคาสีดำเงา, สีเทา กัน เมทาลิค หลังคาสีดำเงา, และสีขาว สตอร์ม ไวท์ หลังคาสีดำเงา
First impression พรีวิวลองขับเล็กๆ ก่อนเปิดตัว
ก่อนที่เจ้า Nissan Almera รุ่นปรับโฉมใหม่ จะเปฺิดตัวอย่างเป็นทางการนั้น ทางทีมงานของนิสสัน ประเทศไทย ได้จัดให้ทางสื่อมวลชนเข้าไปสัมผัสตัวจริงของ Nissan Almera ก่อนที่เปิดตัวกัน พร้อมกับเปิดให้รีวิวสัมผัสตัวจริง และทดสอบสมรรถนะกันแบบเบา ๆ ในสนามปทุมสปีดเวย์ (ซึ่งต้องบอกก่อนว่าเป็นการทดลองแบบเล็กๆ ซึ่งในการทดสอบแบบจริงจังนั้นจะนำเสนอให้ทราบอีกครั้ง)
จากที่ได้ลอง และสัมผัสครั้งแรกแบบ First impression ต้องบอกว่าสะดุดตาเป็นอย่างมาโดยเฉพาะในเรื่องของรูปลักษณ์หน้าตาที่ปรับเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในส่วนของกระจังหน้าที่ทางนิสสันบอกว่าต้องการให้ดูโมเดิร์นมากยิ่งขึ้น สะดุดตาแม้จะมองจากกระยะไกล รวมทั้งยังสื่อให้เห็นถึงแนวคิดการออกแบบรถยนต์ในอนาคตของนิสสัน ซึ่งอันนี้ต้องบอกว่าตอบโจทย์
ขณะที่ในส่วนอื่น ๆ ของตัวรถนั้นต้องบอกว่าเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่ชอบอีกอย่างของ Nissan Almera นั้นก็คือชุดแต่งรอบคันใหม่ (ลูกค้าต้องซื้อเพิ่ม) ที่เมื่อเพิ่มเติมเข้าไปนั้นช่วยยกระดับ และ อัพเกรดความสปอร์ตพรีเมียมของตัวรถมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเป็นชุดสเกิร์ตรอบคัน รวมทั้ง Ducktail และชุดท่อคู่ที่ออกตรงกลาง ที่เสริมความสปอร์ตให้กับตัวรถนั้นดูหล่อ ดูแรงขึ้นมาทันตา
ส่วนภายในห้องโดยสารนั้นเรียกว่าเหมือนเดิมเกือบทุกประการ เพื่อเติมเพียงบางส่วนที่ได้ถูกบุด้วยหนังแบบบุนุ่มเข้ามา รวมถึงแท่นชาร์จสามารตโฟนแบบไร้สาย เบาะคนขับนุ่มแต่มีทรงที่กระชับลำตัวไม่นิ่มเกินไป ระยะท่านั่งขับสบาย เพราะพวงมาลัยสามารถปรับได้ 4 ทิศทาง จึงไม่เป็นปัญหา
ขณะที่ในด้านสมรรถนะพละกำลัง จากการที่ได้ทดลองขับภายในสนานปทุมสปีดเวย์นั้น ที่ทางนิสสัน ได้จัดวางการทดสอบ เป็นช่วง ๆ เน้นการขับขี่ในแบบสลาลมเพื่อดูฟิลลิ่งการขับขี่และระบบช่วงล่าง ในด้านกำลังยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเดิมกับขุมพลัง 1.0 เทอร์โบ อารมณ์เหมือนขับรถใหญ่
ขณะที่ระบบช่วงล่างของตัวรถยังคงเซทออกมาดีเหมือนเดิม ด้วยระบบช่วงล่าง ด้านหน้า เป็นแบบ อิสระ แม็คเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ขณะที่ด้านหลัง เป็นแบบ ทอร์ชัน บีม พร้อมเหล็กกันโคลง ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวล ยึดเกาะถนนดี ช่วงล่างไม่นิ่ม ไม่แข็งเกินไป
ตัวรถขับได้คล่องมือมาก เข้าโค้งได้ มีรัศมีการเลี้ยวที่แคบ ยิ่งได้พวงมาลัย แร็ค แอนด์ พิเนียน ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS) และพวงมาลัยทรง D-Shape เข้ามายิ่งช่วยให้ควบคุมได้ง่ายขึ้น
แต่สำหรับผู้ที่อยาดรู้ว่าฟิลลิ่งการขับขี่เป็นอย่างไรแบบเต็ม ๆ เข้าไปดู ได้ที่ ลองขับจริง Nissan Almera (รุ่นก่อนปรับเปลี่ยนโฉม)
ส่วนในรุ่นปรับโฉมใหม่นี้ ถ้าทางทีมงาน Autostation.com มีโอกาสได้นำรถมาขับทดสอบแบบเต็ม ๆ จะนำรายงานให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง
ราคาจำหน่าย Nissan Almera รุ่นไมเนอร์เชนจ์ 2023
- รุ่น E ราคา 549,000 บาท
- รุ่น EL ราคา 589,000 บาท
- รุ่น V ราคา 659,000 บาท
- รุ่น VL ราคา 699,000 บาท