หลังจากที่ Subaru ได้ยุติการประกอบรถในไทยสิ้นปีนี้ และเปลี่ยนรูปแบบการจัดจำหน่ายเป็นแบบนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นเพียงอย่างเดียว
ล่าสุดทาง บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ Subaru อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ประกาศความพร้อมในการจำหน่ายรถซูบารุนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น วางแผนลงตลาดภายในไตรมาสแรกปีหน้า โดยเตรียมส่ง 2 รุ่นธงในตระกูล e-BOXER HYBRID สู้ศึกในตลาดมเืองไทยอีกครั้ง นำร่องด้วย Subaru Crosstrek e-BOXER HYBRID และจะตามมาด้วย All-New Subaru Forester e- BOXER HYBRID
สำหรับในรุ่นแรกอย่าง All-New Subaru Crosstrek e-BOXER HYBRID จะเป็นรถครอสโอเวอร์ไฮบริดขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งถ้านำเข้ามาจากญี่ปุ่น คาดว่าจะมีราคาค่าอยู่ที่สูงเอาเรื่อง โดยคาดว่าจะมีค่าตัวอยู่ที่ราว ๆ 1.8 ล้านบาท
ซึ่งก่อนที่จะไปพบเจอตัวจริงเสียงจริงของ All-New Subaru Crosstrek e-BOXER HYBRID ในปีหน้านั้นเรามาทำความรู้จักกับว่าที่ครอสโอเวอร์ขุมพลังไฮบริดขับเคลื่อน 4 ล้อตัวนี้กันก่อนสักเล็กน้อย
All-New Subaru Crosstrek e-BOXER HYBRID หรือที่รู้จักกันในชื่อเก่าว่า Subaru XV เป็นรถเอสยูวี ที่มาในรูปแบบครอสโอเวอร์ โดยในรุ่นล่าสุดนั้นนับเป้นเจอเนอเรชัน่ที่ 3 ของรถรุ่นนี้
ในด้านงานออกแบบดีไซน์ หน้าตาภายนอก รวมถึงขนาดมิติตัวถังใกล้เคียงรุ่นเดิม แต่มีการปรับดีไซน์ใหม่ให้ดูเฉียบคม และบึกบึนขึ้น กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ทรงหกเหลี่ยม Hexagon Grill ขนาบข้างด้วยชุดไฟหน้าแบบ Full-LED ดีไซน์ใหม่ทรงเพรียวลง
ขณะที่ในส่วนกันชนหน้าตกแต่งด้วยชิ้นงานที่วัสดุสีดำมากขึ้น โดยเฉพาะกรอบชุดไฟตัดหมอกที่ออกแบบให้เป็นรูปตัว C ขนาดใหญ่ โดยในส่วนชุดไฟตัดหมอกยังคงมาในแบบทรงกลม
เส้นสายด้านข้างมากับลุคแบบคสปอร์ต และดูดุดัน ขอบซุ้มล้อที่ปรับดีไซน์ใหม่ให้ดูมีมัดกล้ามที่บึกบึนขึ้น มาเพิ่มช่องระบายอากาศที่ซุ้มล้อหน้า รับกับล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 225/55 R18
ด้านท้ายรถติดตั้งชุดไฟท้าย LED รูปตัว C อีกทั้งในส่วนประตูท้าย และกันชนหลังได้รับการดีไซน์ใหม่ให้ดูหล่อขึ้นกว่าเดิม นอกจากนั้นยังตกแต่งด้วยชิ้นงานวัสดุสีดำที่กันชนท้ายมาพร้อมดิวฟิวเซอรืหลังสีดำ ที่เพิ่มลุคความสปอร์ตให้กับตัวรถมากยิ่งขึ้น
รวมถึงส่วนด้านบนหลังคายังมาพร้อมกับสปอยเลอร์หลังคาและเสาอากาศแบบ Shark Fin ช่วยในเรื่องแอร์โรไดนามิค เสริมภาพลักษณ์ตัวรถให้ดูเป็นรถสายลุยและอเนกประสงค์ด้วยราวแล็คหลังคาสีดำ
ในด้านขนาดมิติตัวถังของ All-New Subaru Crosstrek e-BOXER HYBRID จะมีความยาว 4,480 มม. กว้าง 1,800 มม. สูง 1,580 มม. ความยาวฐานล้อ 2,670 มม. และระยะ Ground Clearance 200 มม.
ภายในห้องโดยสารโดดเด่นด้วยหน้าจออินโฟเทนเมนท์ที่มาในแบบแนวตั้งขนาด 11.6 นิ้ว รองรับการเชื่อต่อทั้ง Apple CarPlay, Android Auto มาพร้อมหน้าปัดแสดงข้อมูลยังคงเป็นแบบเดิมที่เป็นแบบแอนะล็อกขนาด 4.2 นิ้ว วางอยู่ด้านหลังพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันทรงสามก้าน
เบาะที่นั่งจะหุ้มด้วยผ้า และหนังเย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีเงินมาพร้อมระบบปรับด้วยไฟฟ้า และระบบความจำ เบาะนั้งตอนหลังปรับพับได้แบบ 60:40 นอกจากนั้นยังออกแบบเพิ่มพื้นผิวลายภูเขากันลื่น และกันรอยขีดข่วนที่แผ่นธรณีประตูด้านข้าง และขอบประตุทางเข้าที่ประตูด้านท้าย
คอนโซลกลาง และเกียร์ถูกยกสูงขึ้น พร้อมติดตั้งเบรคมือไฟฟ้า และช่องวางของที่มาพร้อมปลั๊กไฟ 12 โวลท์/120 วัตต์ และช่องเสียบ USB
Subaru Crosstrek e-BOXER HYBRID ถูกพัฒนาขึ้นบนพแลทฟอร์ม Subaru Global Platform ที่มีการปรับปรุงเพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้างแชสซีส์ และตัวถัง เพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ และความปลอดภัยของผู้โดยสารเมื่อเกิดการชน
ในด้านพละกำลังขับเคลื่อนจะมากับระบบ e-Boxer ขนาดความจุ 2.0 ลิตร ที่ให้กำลัง 150 แรงม้า แรงบิด 188 นิวตันเมตร ทำงานผสานมอเตอร์ไฟฟ้าที่เพิ่มกำลังอีก 13.6 แรงม้า แรงบิด 65 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยนชุดเกียร์อัตโนมัติ Lineartronic CVT แบบ 7 สปีด ขับเคลื่อนสี่ล้อ All-Wheel Drive มาพร้อมระบบ X-MODE นอกจากนั้นยังมากับชุดแบตเตอรี่ Lithium ขนาด 13.5 kWh
สำหรับระบบความปลอดภัยจะได้รับการติตตั้งระบบ EyeSight เวอร์ชันใหม่ ที่มาพร้อมกล้องมุมกว้าง (Wide-angle Mono Camera) ที่ประกอบไปด้วย ระบบเบรกอัตโนมัติก่อนการชน, ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control พร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go, ระบบถอนคันเร่งก่อนการชน, ระบบเตือนเมื่อออกจากเลน, ระบบเตือนเมื่อขับรถส่าย และ ระบบเตือนเมื่อการจราจรเคลื่อนที่ เป็นต้น
All-New Subaru Crosstrek e-BOXER HYBRID จะได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยช่วงปี 2568 โดยจะเป็นการนำเข้ามาทั้งคันจากประเทศญี่ปุ่น โดยคาดว่าจะมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 1.8 ล้านบาท
ทั้งนี้ทั้งนั้นรายละเอียดโดยรวมทั้งหมดของ Subaru Crosstrek e-BOXER HYBRID เวอร์ชันไทยจะเป็นอย่างไร รวมทั้งราคาที่แท้จริงจะอยู่ที่เท่าไหร่ หากมีความคืบหน้าอย่างไรออกมาทางทีมงาน Autostation.com จะนำรายงานให้เพื่อน ๆ ได้ทราบอีกครั้งหนึ่ง
