Aehra บริษัทผู้ผลิตรายใหม่จากมิลาน ประเทศอิตาลี เผยภาพชุดรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของทางค่าย ที่มาพร้อมดีไซน์สปอร์ต โฉบเฉี่ยว หรูดูพรีเมียม มาพร้อมประตูปีกนกเปิดได้ทั้ง 4 บาน จ่อเปิดตัวในปี 2023
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ายังคงเปิดกว้าง และได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างล่าสุดได้มีผู้ผลิตรถยนต์รายใหม่จากเมือมิลานประเทศอิตาลีที่ใช้ชื่อว่า Aehra ได้เผยภาพรถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบเอสยูวีตัวแรของทาค่ายออกมา พร้อมประกาศจะเปิดตัวอย่าเป็นทางการในช่วงปี 2023 ที่จะถึงนี้
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าตัวแรกของทาง Aehra มาในรูปแบบรถเอสยูวีไฟฟ้า ดีไซน์สปอร์ต ที่ดูโฉบเฉี่ยว ในทุกมุมมอง ด้านดีไซน์โดดเด่นด้วยประตูปีกนกทั้ง 4 บาน โดยประตูหน้าทั้ง 2 สามารถเปิดขึ้นไปข้างหน้าได้ ขณะที่ประตูหลังเปิดยกขึ้นได้เพียงอย่างเดียว
ด้านหน้ามาพร้อมชุดไฟหน้า LED ทรงเรียว ที่วางอยู่เหนือช่องดักอากาศที่บริเวณฝากระโปรงหน้า ในส่วนกันชนหน้าติดตั้งช่องดัดอากาศแบบสปอร์ตที่เสริมด้วยแถบไฟเพื่อให้ตัวรถมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
อีกทั้งยังออกแบบตัวรถให้มีระยะโอเวอร์แฮงค์ด้านหน้าที่สั้น กระจกบานหน้ามีความลาดเอียงสูง ผสานกับหลังคาด้านท้ายดีไซน์ให้มีความลาดเท มาพร้อมกระจกมองข้างที่บางเฉียบซึ่งได้แรงบันดาลใจจากสปอร์ตไบค์ ก และล้อสไตล์แอโรไดนามิก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแนวทางการออกแบบของ Aehra นั้นจะเน้นในเรื่อของแอโรไดนามิก และความลู่ลมของตัวรถเป็นสำคัญ
ขณะที่ด้านท้ายก็มาพร้อมดีไซน์ที่ดูโฉบเฉี่ยวไม่ต่างจากด้านหน้า ชุดไฟท้าย LED ก็แบ่งเป็นแบบสองชั้น โดยด้านบนจะออกแบบเป็นรูปตัว C ที่ดูเรียวยาว ส่วนด้านล่างจะติดตั้งไว้ที่บริเวณกันชนท้าย
นอกจากนี้ตัวรถเอสยูวีไฟฟ้าคันนี้ยังมาพร้อมโครงสร้างแบบโมโนค็อก พร้อมเทคโนโลยีคาร์บอนไฟเบอร์ และใช้วัสดุที่ยั่งยืนและล้ำสมัย ตัวรถมีระยะฐานล้อกว้าง 118.1 นิ้ว (3 เมตร) ส่งผลทำให้มีพื้นที่ภายนห้องโดยสารที่กว้างขวางเป็นพิเศษ โดยทาง Aehra เคลมว่า สามารถรองรับนักกีฬา NBA ที่มีรูปร่างใหญ่โตได้ถึง 4 คน
น่าเสียดายที่ทางบริษัทจากอิตาลี ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดในด้านขุมพลัง แต่จากรายงานก่อนหน้านี้เปิดเผยว่าเอสยูวีไฟฟ้าคันดังกล่าวนี้ จะมาพร้อมกับสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม สามารถขับขี่ได้ในระยะทางไม่น้อยกว่า 800 กม. ต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง
สำหรับ Aehra เอสยูวีไฟฟ้าตัวนี้จะได้รับการเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2023 และหากไม่มีอะไรผิดพลาดจะส่งมอบให้กับลูกค้าได้ในปี 2025 โดยทางผู้ผลิตตั้งราคาเริ่มต้นไว้ระหว่าง 160,000 – 180,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ราว 5.89 – 6.62 ล้านบาท โดยตั้งเป้าจะางจำหน่ายทั้งใน อเมริกา, ยุโรป, จีน และตะวันออกกลาง