หลังจากที่ทาง เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้เคยนำ All New GWM TANK 500 Hybrid SUV มาโฉมโชว์ในเมืองไทยที่ในงาน Motor Expo 2021 เมื่อปลายปี 2564 ที่ผ่านมา ล่าสุดทาง GWM เตรียมเปิดตัว All New GWM TANK 500 Hybrid SUV หรือจะเรียกสั้น ๆ ว่า TANK 500 อย่างเป็นทางการในตลาดบ้านเราที่ในงาน Motor Show 2023 นี้ ที่จะมีขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 22 มีนาคม – 2 เมษายน นี้
ซึ่งก่อนจะไปพบเจอ และสัมผัสตัวจริงกันอย่างใกล้ชิดกัยในงาน Motor Show 2023 วันนี้ทางทีมงาน Autostation.com ได้นำภาพจริง และสเปคของ TANK 500 ที่จะมีวางจำหน่ายในไทยมาฝากกันก่อน ส่วนราคาคงต้องไปรอลุ้นกันอีกรอบภายในงานนี้
สำหรับ All New GWM TANK 500 Hybrid SUV หรือเรียกสั้นว่า TANK 500 นั้นเป็นเอสยูวีพรีเมียมสุดหรุขนาดใหญ่ ที่อยู่ภายใต้แบรนด์ GWM TANK ซึ่งเป็นแบรนด์เอสยูวีออฟโรด ของเกรท วอลล์ มอเตอร์ โดยเป็นรถที่ถูกออกแบบมาสำหรับคนที่ทันสมัย ซึ่งนับตั้งแ่เปิดตัวออกมาในประเทศจีน สามารถสร้างยอดขายเกิน 200,000 คัน ในปี 2565 ที่ผ่านมาในประเทศจีน
ในด้านงานออกแบบถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มออฟโรดอัจฉริยะ TANK ที่ทรงประสิทธิภาพทั้งด้านพละกำลัง สมรรถนะ และเทคโลยีอันล้ำสมัย ซึ่งรองรับระบบส่งกำลังได้ถึง 3 รูปแบบ ได้แก่ ICE, HEV และ PHEV รองรับได้ทั้งเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรและ 3.0 ลิตร
ในด้านดีไซน์รูปลักษณ์ตัวรถนั้นสร้างสรรค์มาด้วยปรัชญาการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ตาม DNA ของ TANK ที่มีความบึกบึน แกร่ง แต่ยังเปี่ยมไปด้วยความเรียบหรู สง่างาม
โดยด้านหน้าออกแบบภายใต้ปรัชญาของ “ความหรูหราที่แข็งแกร่ง” ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ผสานช่องระบายอากาศแนวนอนและโลโก้ TANK ที่ลงตัวรับเส้นสายที่นูนขึ้นของฝากระโปรง ชุดไฟหน้า Intelligent LED ดีไซน์โดดเด่น ให้ความสว่างชัดเจน มาพร้อมกับระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ, ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ และฟังก์ชันหน่วงเวลาไฟส่องทางหลังดับเครื่อง (Follow me home) พร้อม Daytime Running Light และไฟตัดหมอก LED
ด้านข้างตัวรถมาพร้อมกับลายเส้นที่เรียบง่าย แต่สะท้อนถึงพลังที่ดูแข็งแกร่ง เติมความหรูหราอลังการด้วยล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางขนาด 265/50 R20
ดีไซน์ด้านหลัง ออกแบบภายใต้แนวคิดออฟโรด ด้วยประตูท้ายแบบ horizontal พร้อมระบบดูดไฟฟ้า ที่ช่วยผ่อนแรงและอำนวยความสะดวกสบายในการปิดประตูท้าย ยางอะไหล่ติดตั้งบนประตูท้าย พร้อมกล้องมองหลังที่ซ่อนอยู่บนฝาครอบยางอะไหล่ได้อย่างลงตัว
ชุดไฟท้าย Vertical LED ดีไซน์โดดเด่นในแนวตั้ง มาพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 และไฟตัดหมอกแบบ LED ขณะที่ในส่วนหลังคาซันรูฟมาในแบบพาโนรามิคขนาดใหญ่ เปิด – ปิดด้วยระบบไฟฟ้า มาพร้อมราวหลังคาเพื่อเพิ่มฟังก์ชันการใช้งาน เสาอากาศแบบ shark fin และสปอยเลอร์ท้าย ซึ่งช่วยในเรื่องแอร์โรไดนามิค
เพิ่มความสะดวกสบายเมื่อขั้นลงภายในรถด้วยบันไดข้างระบบไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชัน เปิด-ปิดอัตโนมัติเมื่อเปิด-ปิดประตู
ในด้านมิติขนาดตัวรถจะมีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในรถระดับเดียวกัน ด้วยความกว้าง 1,934 มม., ยาว 5,078 มม., สูง 1,905 มม. และมีระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,850 มม.
ด้านภายในห้องโดยสารออกแบบภายในสไตล์ Luxury ที่ให้ความรู้สึกหรูหรา กว้างขวาง สะดวกสบาย คอนโซลหน้าสีทูโทน เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง NAPPA
เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้าฝั่งผู้ขับ ปรับได้ 8 ทิศทาง พร้อมระบบ Memory Seat และระบบ Welcome Seat ส่วนฝั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับได้ 6 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับตำแหน่งเบาะผู้โดยสารด้านหน้าจากด้านคนขับ มาพร้อมระบบเบาะนวดไฟฟ้า, ระบบดันหลังปรับด้วยไฟฟ้า, ระบบระบายอากาศ
เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 2 พร้อมหน้าจอควบคุมระบบระบายอากาศและเบาะระบายอากาศ อีกระดับของความสบายด้วยที่พักแขนตอนกลาง ม่านบังแดด และช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 3 พร้อมพนักพิงปรับไฟฟ้า เพิ่มความสะดวกด้วยตำแหน่งปรับพนักพิงบริเวณข้างประตูผู้โดยสารแถวที่ 2 และประตูท้าย
ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมีขนาดใหญ่ ปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยได้ตามต้องการ เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 2 สามารถแยกพับเบาะได้แบบ 60:40 และเบาะนั่งแถวที่ 3 สามารถพับเรียบ ช่วยเพิ่มพื้นที่และความสะดวกในการจัดเก็บสัมภาระ
ขณะที่แผงแดชบอรฺ์ดได้รับการติดตั้งหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัล ขนาด 12.3 นิ้ว และหน้าจอ HUD ที่แสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกด้านหน้า อีกทั้งยังมาพร้อมกับหน้าจอกลางอัจฉริยะแบบสัมผัส ขนาด 14.6 นิ้ว รองรับความบันเทิงได้ทั้ง Apple CarPlay, Android Auto, MP3, Bluetooth, ระบบนำทาง, และแสดงข้อมูลการขับขี่ต่าง ๆ
พวงมาลัยมังติฟังก์ชันปรับได้ 4 ทิศทาง มาพร้อม Paddle Shift เสริมความหรูหราด้วยไฟ Ambient light และนาฬิกาแบบคลาสสิกที่อยู่ระหว่างช่องปแอร์ด้านหน้า
คอนโซลกลางออกแบบหใ้มีพื้นที่ขนาดใหญ่ มาพร้อมฟังก์ชันควบคุมการขับขี่แบบออฟโรด และเกียร์แบบ Electronic Shifter ดีไซน์หรู สีเดียวกับแผงคอนโซล
ด้านชุดอุปกรณ์ที่จะได้รับภายในห้องโดยสาร เครื่องเสียงพร้อมลำโพง Infinity 12 ตำแหน่ง มากับระบบแอมพลิฟายเออร์อิสระ และระบบปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็วรถ, ระบบเปิด-ปิดล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อเข้าใกล้และออกห่างจากรถ ระบบกุญแจ Smart Key, ระบบ Push Start, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมระบบกรองอากาศ PM2.5 และแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย เป็นต้น
ในด้านพละกำลังของ TANK 500 จะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน (VGT) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังรวมสูงสุด 350 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 616 นิวตันเมตร ว่งกำลังด้วยชุดเกียร์แบบ DHT มาพร้อมโหมดการขับขี่สูงสุดถึง 11 รูปแบบ
ระบบช่วงล่างกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ ดับเบิล ครอส อาร์ม และระบบกันสะเทือนหลังแบบอิสระมัลติลิงค์ ให้การขับขี่ที่ยึดเกาะถนนและนั่งสบายเพื่อตอบสนองการขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมือง เพื่อความต้องการของทุกคนในครอบครัว
มาพร้อมระบบล็อกเฟืองขับด้านหน้าและด้านหลัง (Electric Differential Lock for front and rear axles) ช่วยเพิ่มความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรดของยานพาหนะเมื่อเผชิญกับทางลาดชัน โคลน ทะเลทราย ทำงานร่วมกันกับกลไกล็อกของกล่องถ่ายโอนทั้งล้อหน้าและล้อหลัง สร้างระบบขับเคลื่อนออฟโรดแบบ 3 Locks เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ออฟโรดที่ดีเยี่ยม
นอกจากนั้นยังได้รับการติดตั้งระบบช่วยกลับรถในพื้นที่แคบ (TANK Turn) หลังจากเปิดฟังก์ชัน เมื่อระบบตรวจพบความตั้งใจในการบังคับเลี้ยวมากเกินไป ระบบจะส่งแรงเบรกไปที่ล้อหลังด้านในเพื่อลดรัศมีวงเลี้ยว เพื่อช่วยให้รถสามารถเลี้ยวในวงแคบได้
สำหรับ All New GWM TANK 500 Hybrid SUV สเปกประเทศไทยจะมีให้เลือก 2 ได้แก่ รุ่น ULTRA และรุ่น PRO
โดยจะมีเฉดสีตัวรถให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ ขาว,ดำ,เทา,แดง และเทาคริสตัล (เฉพาะรุ่น ULTRA) ส่วนสีภายในห้องโดยสารจะมีให้เลือกคือสีดำ และแบบทูโทนสีน้ำเงิน-เบจ (เฉพาะรุ่น ULTRA)
ในด้านราคาจำหน่ายคงต้องรอลุ้นกันในงาน Motor Show 2023 นี้