หลังจากที่ทาง เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้เคยนำ All New GWM TANK 500 Hybrid มาโฉมโชว์ในเมืองไทยเมื่อปลายปี 2564 ล่าสดทางผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากประเทศจีน ได้ประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ All New GWM TANK 500 Hybrid ออกมาแล้ว โดยจะมีให้เลือก 2 รุ่น คือ ULTRA และรุ่น PRO
เคาะราคาจำหน่ายเริ่มที่ 2.049 ล้านบาท
สามารถเข้าไปดูรีวิวทดสอบได้ที่
สำหรับ All New GWM TANK 500 Hybrid SUV หรือเรียกสั้นว่า TANK 500 นั้นเป็นเอสยูวีพรีเมียมสุดหรูขนาดใหญ่ ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มออฟโรดอัจฉริยะ TANK ที่ทรงประสิทธิภาพทั้งด้านพละกำลัง สมรรถนะ และเทคโลยีอันล้ำสมัย ซึ่งรองรับระบบส่งกำลังได้ถึง 3 รูปแบบ ได้แก่ ICE, HEV และ PHEV รองรับได้ทั้งเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรและ 3.0 ลิตร
ในด้านดีไซน์ถูกออกแบบให้เป็นเอกลักษณ์ตาม DNA ของ TANK ที่เน้นความบึกบึน แกร่ง แต่ยังเปี่ยมไปด้วยความเรียบหรู สง่างาม
ด้านหน้าออกแบบภายใต้ปรัชญาของ “ความหรูหราที่แข็งแกร่ง” กระจังหน้าขนาดใหญ่ผสานช่องระบายอากาศแนวนอนและโลโก้ TANK ที่ลงตัวรับเส้นสายที่นูนขึ้นของฝากระโปรง ขนาบข้างด้วยชุดไฟหน้า Intelligent LED มาพร้อมกับระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ, ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ และฟังก์ชันหน่วงเวลาไฟส่องทางหลังดับเครื่อง (Follow me home) พร้อม Daytime Running Light และไฟตัดหมอก LED
ด้านข้างตัวรถมาพร้อมกับลายเส้นที่เรียบง่าย แต่สะท้อนถึงพลังที่ดูแข็งแกร่ง เติมความหรูหราอลังการด้วยล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางขนาด 265/50 R20
ดีไซน์ด้านหลัง ออกแบบภายใต้แนวคิดออฟโรด ด้วยประตูท้ายแบบ horizontal พร้อมระบบดูดไฟฟ้า ที่ช่วยผ่อนแรงและอำนวยความสะดวกสบายในการปิดประตูท้าย ยางอะไหล่ติดตั้งบนประตูท้าย พร้อมกล้องมองหลังที่ซ่อนอยู่บนฝาครอบยางอะไหล่ได้อย่างลงตัว
ชุดไฟท้าย Vertical LED ดีไซน์โดดเด่นในแนวตั้ง มาพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 และไฟตัดหมอกแบบ LED ขณะที่ในส่วนหลังคาซันรูฟมาในแบบพาโนรามิคขนาดใหญ่ เปิด – ปิดด้วยระบบไฟฟ้า มาพร้อมราวหลังคาเพื่อเพิ่มฟังก์ชันการใช้งาน เสาอากาศแบบ shark fin และสปอยเลอร์ท้าย ซึ่งช่วยในเรื่องแอร์โรไดนามิค
เพิ่มความสะดวกสบายเมื่อขึ้นลงภายในรถด้วยบันไดข้างไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชัน เปิด-ปิดอัตโนมัติเมื่อเปิด-ปิดประตู
ในด้านมิติขนาดตัวรถจะมีความกว้าง 1,934 มม., ยาว 5,078 มม., สูง 1,905 มม. และมีระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,850 มม.
ด้านภายในห้องโดยสารออกแบบภายในสไตล์ Luxury ที่ให้ความรู้สึกหรูหรา กว้างขวาง สะดวกสบาย คอนโซลหน้าสีทูโทน เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง NAPPA
เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้าฝั่งผู้ขับ ปรับได้ 8 ทิศทาง พร้อมระบบ Memory Seat และระบบ Welcome Seat ส่วนฝั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับได้ 6 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับตำแหน่งเบาะผู้โดยสารด้านหน้าจากด้านคนขับ มาพร้อมระบบเบาะนวดไฟฟ้า, ระบบดันหลังปรับด้วยไฟฟ้า, ระบบระบายอากาศ
เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 2 พร้อมหน้าจอควบคุมระบบระบายอากาศและเบาะระบายอากาศ อีกระดับของความสบายด้วยที่พักแขนตอนกลาง ม่านบังแดด และช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 3 พร้อมพนักพิงปรับไฟฟ้า เพิ่มความสะดวกด้วยตำแหน่งปรับพนักพิงบริเวณข้างประตูผู้โดยสารแถวที่ 2 และประตูท้าย
ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมีขนาดใหญ่ ปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยได้ตามต้องการ เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 2 สามารถแยกพับเบาะได้แบบ 60:40 และเบาะนั่งแถวที่ 3 สามารถพับเรียบ ช่วยเพิ่มพื้นที่และความสะดวกในการจัดเก็บสัมภาระ
แผงแดชบอรฺ์ดจะได้รับการติดตั้งหน้าจอแสดงผลข้อมูลแบบดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว มาพร้อมหน้าจอ HUD ที่สะท้อนไปยังกระจกบังลงหน้า อีกทั้งยังมาพร้อมกับหน้าจอกลางอัจฉริยะแบบสัมผัสขนาด 14.6 นิ้ว รองรับทั้ง Apple CarPlay, Android Auto, MP3, Bluetooth, ระบบนำทาง และแสดงข้อมูลการขับขี่ต่าง ๆ
พวงมาลัยมังติฟังก์ชันปรับได้ 4 ทิศทาง มาพร้อม Paddle Shift เสริมความหรูหราด้วยไฟ Ambient light และนาฬิกาแบบคลาสสิกที่อยู่ระหว่างช่องปแอร์ด้านหน้า
คอนโซลกลางออกแบบให้มีพื้นที่ขนาดใหญ่ มาพร้อมฟังก์ชันควบคุมการขับขี่แบบออฟโรด และเกียร์แบบ Electronic Shifter ดีไซน์หรู สีเดียวกับแผงคอนโซล
ด้านชุดอุปกรณ์ภายในห้องโดยสารที่จะได้รับ เครื่องเสียงพร้อมลำโพง Infinity 12 ตำแหน่ง มากับระบบแอมพลิฟายเออร์อิสระ และระบบปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็วรถ, ระบบเปิด-ปิดล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อเข้าใกล้และออกห่างจากรถ, กุญแจ Smart Key, ปุ่ม Push Start, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมระบบกรองอากาศ PM2.5 และแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย เป็นต้น
ในด้านพละกำลังจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน (VGT) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังรวมสูงสุด 350 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 616 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์แบบ DHT มาพร้อมโหมดการขับขี่สูงสุดถึง 11 รูปแบบ
ระบบช่วงล่างกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ ดับเบิล ครอส อาร์ม และระบบกันสะเทือนหลังแบบอิสระมัลติลิงค์ ให้การขับขี่ที่ยึดเกาะถนนและนั่งสบายเพื่อตอบสนองการขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมือง เพื่อความต้องการของทุกคนในครอบครัว
มาพร้อมระบบล็อกเฟืองขับด้านหน้าและด้านหลัง (Electric Differential Lock for front and rear axles) ช่วยเพิ่มความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรดของยานพาหนะเมื่อเผชิญกับทางลาดชัน โคลน ทะเลทราย ทำงานร่วมกันกับกลไกล็อกของกล่องถ่ายโอนทั้งล้อหน้าและล้อหลัง สร้างระบบขับเคลื่อนออฟโรดแบบ 3 Locks เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ออฟโรดที่ดีเยี่ยม
นอกจากนั้นยังได้รับการติดตั้งระบบช่วยกลับรถในพื้นที่แคบ (TANK Turn) หลังจากเปิดฟังก์ชัน เมื่อระบบตรวจพบความตั้งใจในการบังคับเลี้ยวมากเกินไป ระบบจะส่งแรงเบรกไปที่ล้อหลังด้านในเพื่อลดรัศมีวงเลี้ยว เพื่อช่วยให้รถสามารถเลี้ยวในวงแคบได้
สำหรับ All New GWM TANK 500 Hybrid SUV สเปกประเทศไทยจะมีให้เลือก 2 ได้แก่ รุ่น ULTRA และรุ่น PRO โดยจะมีเฉดสีตัวรถให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ ขาว, ดำ, เทา, แดง และเทาคริสตัล (เฉพาะรุ่น ULTRA) ส่วนสีภายในห้องโดยสารจะมีให้เลือกคือสีดำ และแบบทูโทนสีน้ำเงิน-เบจ (เฉพาะรุ่น ULTRA)
สำหรับราคาจำหน่ายของ All New GWM TANK 500 Hybrid SUV จะมีดีงนี้
- รุ่น ULTRA ราคา 2,269,000 ล้านบาท
- รุ่น PRO ราคา 2,049,000 ล้านบาท