หลังจากที่ทาง Changan Automobile ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากจีน ประกาศพร้อมจะลงหลักปักฐานผลิตรถในเมืองไทย เพิ่อวางจำหน่ายทั้งในไทย และส่งออกไปยังต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นในเกาะอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รวมทั้งในย่านอาเซียน
โดยล่าสุดทาง Changan ก็ได้เตรียมที่จะเปิตตัวแบรนด์อย่างเป็นทางการในไทยที่งาน Motor Expo 2023 พร้อมกับเปิดตัวรถที่จะเตรียมวางจำหน่ายในบ้านเรา ซึ่งคาดว่าจะมีมาถึง 2 รุ่นคือ ChangAn Deepal S7 เอสยูวีไฟฟ้าใหม่ และ ChangAn Deepal SL03 ที่มาในรูปแบบซีดานไฟฟ้า
ซึ่งนอกเหนือจากรถ 2 รุ่น 2 แบบ ดังกล่าวของทาง Changan นี้แล้ว ก็มีข่าวว่าทางฉางอัน เตรียมที่จะนำ AVATR 11 เอสยูวีไฟฟเ้าจากทางแบรนด์ AVATR ที่เป็นแบรนด์รถหรูในสังกัด ที่เกิดจากความร่วมมือกันระหว่างสุดยอดแบรนด์ชื่อดังจาก 3 ค่าย อย่าง Changan Automobile ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ๋จากจีน CATL ผู้ผลิต และให้บริการแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และ Huawei แบรนด์โทรศัพท์ชื่อดังจากเมืองจีน เข้ามาจัดโชว์ที่ในบูธของ Changan ที่ในงาน Motor Expo 2023 ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ด้วย ก่อนที่มีแผนจะเปิดตัววางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในตลาดเมืองไทยช่วงปี 2024 ต่อไป
สำหรับ AVATR 11 เป็นรถเอสยูวีไฟฟ้าดีไซน์หรูที่ถูกเปิดตัวครั้งแรกในจีนเมื่อราว 2 ปีที่ผ่านมา ในด้านงานออกแบบจะเน้นความล้ำสมัย
ด้านหน้ารถมากับชุดไฟหน้า LED และไฟ DRL ในดีไซน์แบบเบางเฉียบ ที่เป็นเส้นตรง และรูปตัว L ที่อยู่ถัดลงมาด้านล่าง กระจังหน้าแบบปิดทึบ กันชนหน้าออกแบบให้ดูเป็นช่องรับลมแบบหลอกตาลวยลายเป็นลายตาราง
นอกจากนั้นยังติดตั้งแถบหน้าจอที่สามารถสื่อสารกับผู้คนภายนอกได้ อยู่ด้านล่างกระจกบังลมหน้าเหนือฝากระโปรงหน้าทั้งกล่าวทักทาย และบอกเป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ
ดีไซน์ด้านข้างตัวรถแบบเรียบหรู แนวหลังคาลาดเอียงในสไตล์รถคูเป้ มือเปิดประตูเป็นแบบ Pop-Up ที่ราบเรียบไปกับตัวรถ ตัวรถจะไม่มีขอบหน้าต่าง
พร้อมติดตั้งกล้องไว้ที่ด้านข้างตัวรถ เพื่อแสดงว่ารถรุ่นนี้มาพร้อมกล้องรอบคันแบบ 360 องศา ส่วนที่ชาร์จไฟติดตั้งอยู่ที่ซุ้มล้อหลังฝั่งซ๊ายมือ ส่วนชุดไฟท้ายแบบสมัยนิยมที่เป็นไฟ LED แบบเรียวยาวที่พาดเต็มขวางในส่วนด้านท้าย
AVATR 11 ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม EP1 มีมิติความยาวของตัวรถอยู่ที่ 4,880 มม., ความกว้าง 1,970 มม, ความสูง 1,601 มม. และมีระยะฐานล้อยาว 2,975 มม.
ห้องโดยสารของ AVATR11 จะมีให้เลือกทั้งแบบ 4 หรือ 5 ที่นั่ง ส่วนที่ดูโดดเด่นที่สุดภายในจะเป็นในส่วนของ หน้าจออินโฟรเทนเมนต์ขนาด 15.6 นิ้ว ที่ตั้งอยู่ตรงกลางแผงแดชบอร์ด มาพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 10.25 นิ้ว และหน้าจอฝั่งผู้โดยสารตอนหน้าที่มีขนาดเดียวกันคือ 10.25 นิ้ว
ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานผ่านซอฟต์แวร์ของ Huawei นอกจากนี้ยังมีมาพร้อมกับแท่นชาร์จสมาร์ตโฟนแบบไร้สาย ระบบเครื่องเสียงมากับระบบ 14 ตำแหน่ง พร้อมติดตั้งระบบตัดเสียงรบกวนจากถนน และสามารถสร้างเสียงคำรามของเครื่องยนต์ให้เร้าใจในยามขับขี่ ด้วยระบบ Active Sound Enhancement
ด้านคอนโวลกลางออกแบบให้ก้นระหว่างเบาะคุ่หน้า โดยจะถูกเชื่อมต่อติดกับแผงคอนโซลหน้า ดีไซน์ให้เป็นคล้ายสะพายโดยมีช่องวางด้านล่างเพื่อเอาไว้เก็บของ ขณะที่ด้านบนจะมีช่องชาาร์จสมาร์ตโฟนให้ 2 ช่อง นอกจากนั้นยังได้รับหลังคากระจกพาโนรามิคที่ออกแบบให้มีถึง 3 ช่อง
ขณะที่ในส่วนเบาะที่นั่งตอนหลังถ้าเป็นในรุ่น 4 ที่นั่งจะเป็นเบาะแบบกัปตันซีท ที่ถูกคั้นกลางด้วยคอนโซลขนาดใหญ่ มาพร้อมแท่นวางสมาร์ตโฟน รวมทั้งยังมีลิ้นชักที่เป็นช่องเก็บความเย็น สามารถนำขวดน้ำหรือเครื่องดื่มเข้าไปเก็บแช่ได้
ในด้านขุมพลังขับเคลื่อนจะถูกติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าแบบคู่ ที่วางอยู่ทั้งคู่ล้อหน้าและคู่ล้อหลัง สำหรับคู่ล้อหน้าจะให้กำลัง 265 แรงม้า ส่วนมอเตอร์ที่วางอยู่คู่ล้อหลังให้กำลัง 313 แรงม้า ส่งผลทำให้มีพละกำลังที่มากถึง 578 แรงม้า มาพร้อมแรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตร ตัวรถสามารถเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.98 วินาที และทำความเร็วสูงสุดจำกัดที่ 200 กม./ชม.
มาพร้อมชุดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 90.38 kWh ในรุ่นสแตนดาร์ด ที่ชาร์จไฟเต็มจะวิ่งได้ระยะทางไกล 555 กม. ขณะที่ในรุ่นท็อปจะติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 116.79 kWh ที่ชาร์จเต็ม 1 ครั้งจะวิ่งได้ไกลถึง 600 – 705 กม. (ตามมาตรฐาน CLTC) ตามลำดับ
นอกจากนั้น AVATR 11 ยังมากับ เซ็นเซอร์ต่าง ๆ ที่มากถึง 34 ตัว LiDARS 3 ตัว ช่วยให้สามาถขับขี่บนทางหลวงและถนนขนาดเล็ก อีกทั้งยังมาพร้อมระบบช่วยขับอาทิ ระบบช่วยเปลี่ยนเลน, ระบบตรวจจับสัญญาณไฟจราจร และการตรวจจับคนเดินถนน เป็นต้น
สำหรับราคาจำหน้่ายของ AVATR 11 ในตลาดมเืองจีนจะมีราคาเริ่มต้นจที่ 349,900 หยวน หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ราว ๆ 1.72 ล้านบาท ส่วนในรุ่นท็อปจะมีราคจำหน่ายเริ่มที่ 369,900 หยวน หรือประมาณ 1.84 ล้านบาท
ส่วน AVATR 11 ที่จะนำมาโชว์ตัวในงาน Motor Expo 2023 นั้นคงจะเป็นเพียงการโชว์โฉม พร้อมหยั่งกระแส เรียกความสนใจ ก่อนที่จะเปิดตัวแบรนด์ และเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งในช่วปี 2567 หรือในปีหน้า