บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย เปิดตัว “Lamborghini Urus SE” ซูเปอร์เอสยูวีระบบปลั๊กอินไฮบริด รุ่นแรกของ Lamborghini ในเมืองไทย ที่มาพร้อมประสิทธิภาพ และประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุดในคลาสตามแบบฉบับลัมโบร์กินี
Lamborghini Urus SE (ลัมโบร์กินี อูรุส เอสอี) มาพร้อมดีไซน์ใหม่ ที่เพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ รวมทั้งยังได้รับเทคโนโลยีช่วยการขับขี่ที่เหนือชั้น เสริมด้วยระบบ PHEV ที่ให้กำลังมากถึง 800 แรงม้า วิ่งโหมดไฟฟ้าล้วนได้ระยะทางไกลถึง 60 กม. ทำให้ Urus SE เป็นรถยนต์ที่มีความโดดเด่นที่สุดในรถยนต์คลาสเดียวกัน
ในด้านงานออกแบบ มากับเส้นสายใหม่ ที่สะท้อนถึงรูปทรงแบบพลศาสตร์ ที่เน้นภาพลักษณ์ความเป็นรถสปอร์ต และความแข็งแกร่งบึกบึนได้อย่างโดดเด่น ส่วนหน้าหรูหราด้วยการออกแบบฝากระโปรงทรงใหม่แบบ Floating Design โดยลบเส้นสายที่เป็นตัวแบ่งส่วนต่าง ๆ ทิ้งไปเพื่อเสริมความรู้สึกลื่นไหลต่อเนื่องและเน้นย้ำถึงรูปทรงแบบนักกีฬา ชวนให้นึกถึงแนวคิดการออกแบบแนวใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรุ่น Revuelto
นอกจากนี้ยังได้รับการติดตั้งชุดไฟหน้าที่ใช้เทคโนโลยี Matrix LED ซึ่งเป็นดีไซน์ซิกเนเจอร์ใหม่ล่าสุดที่มีแรงบันดาลใจมาจากหางวัวกระทิงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ลัมโบร์กินี
ส่วนการออกแบบส่วนท้ายให้ความสำคัญกับช่วงกว้าง ตกแต่งด้วยดิฟฟิวเซอร์แบบใหม่ และปรับช่องติดป้ายทะเบียนรถให้มีระดับต่ำลง ขณะที่ตะแกรงด้านหลังนำแรงบันดาลใจมาจากรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตของลัมโบร์กินีอย่าง Gallardo โดยผสานเส้นสายต่าง ๆ ได้อย่างกลมกลืน
เชื่อมต่อชุดไฟท้ายด้วยดวงไฟรูปตัว “Y” ส่วนสปอยเลอร์ใหม่ยังทำงานร่วมกับดิฟฟิวเซอร์หลังในการช่วยเพิ่มแรงกดด้านหลังขณะวิ่งด้วยความเร็วสูงเพิ่มขึ้นถึง 35% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Urus S จึงเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่มากยิ่งขึ้น
อีกทั้งยังออกแบบท่อระบายลมที่ส่วนล่างตัวรถ และท่อลมเข้าแบบปรับปรุงใหม่ พร้อมดีไซน์ช่องทางลมให้ต่อเนื่องมากขึ้นเพื่อลดความร้อนของชิ้นส่วนและเครื่องยนต์ได้ดีกว่าเดิม ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่น Urus เดิมถึง 15% การออกแบบส่วนหน้ายังผสานกับการเพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ด้านล่างเพื่อช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของอากาศและระบายความร้อนให้กับระบบเบรก ซึ่งมีประสิทธิภาพการระบายความร้อนด้วยอากาศสูงขึ้นถึง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเก่า
ขณะที่ในส่วนชุดล้อของ Urus SE จะมากับดีไซน์ Galanthus ขนาด 23 นิ้วที่ถูกรัดด้วยยาง Pirelli P Zero
ภายให้องโดยสาร ได้รับการตกแต่งใหม่ โดยมาพร้อมปรัชญาการออกแบบที่เรียกว่า “Feel like a pilot” เพื่อยกระดับปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักขับและระบบดิจิทัลภายใน แผงแดชบอร์ดติดตั้งดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว และจอทัชสกรีนขนาด 12.3 นิ้ว มาพร้อมกราฟิก Human Machine Interface (HMI) เวอร์ชันใหม่ที่ใช้งานได้ง่ายดายและเป็นธรรมชาติมากขึ้น พร้อมตกแต่งด้วยวัสดุอลูมิเนียมเคลือบผิวในรูปทรงตัว “Y” อันเป็นเอกลักษณ์ และยังหุ้มส่วนบานตกแต่ง แผงหน้าปัด เบาะนั่งด้วยวัสดุใหม่ นอกจากนี้ยังออกแบบแผงปุ่มกดแบบกลไกเพื่อให้ได้สัมผัสของการกดที่สมจริง
นอกจากนั้นออปชันการตกแต่งภายในยังมอบทางเลือกคู่สีอีกกว่า 47 แบบ และการเย็บตะเข็บตกแต่งถึง 4 สไตล์ (Q-citura stitching) พร้อมออปชันในโปรแกรมการตกแต่ง Ad Personam ที่ช่วยให้เจ้าของ Urus SE สร้างสรรค์รถยนต์ให้มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครเพียงหนึ่งเดียวในโลก
ในด้านพละกำลังจะมากับเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 4.0 ให้กำล้ง 456 kW หรือ 620 แรงม้า มาพร้อมแรงบิด 800 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 192 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 483 นิวต้นเมตร เมื่อผสานการทำงานจะมีกำลังรวมสูงสุด 800 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 950 นิวตันเมตร ระบบส่งด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เวอร์ชันใหม่ล่ มาพร้อมระบบ e-limited-slip differential ให้อัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.4 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 312 กม./ชม. ส่งผลทำให้ Urus SE เป็นรถยนต์ที่ทรงพลังสูงสุดของตระกูล Urus
มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 10 โหมดโดยสามารถควบคมุสั่งงานได้จากแผงควบคุม “Tamburo” ที่ถูกติดตั้งบริเวณกลางคอนโซล อาทิ Strada, Sport, Corsa (สำหรับท้องถนนและสนามแข่ง), Neve, Sabbia และ Terra (สำหรับพื้นผิวที่มีการยึดเกาะที่แตกต่างจากพื้นยางมะตอย) จะสามารถทำงานร่วมกับออปชันระบบ EV Drive, Hybrid, Performance และ Recharge
ด้านชุดแบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียมไอออนขนาดความจุ 25.7 kWh สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ไกลสุด 60 กม.โดยสามารถลดการปล่อยไอเสียได้มากถึง 80%เมื่อเทียบกับ Urus S
สำหรับเฉดสีตัวรถของ Urus SE มีให้เลือกมากมาย และออปชันการตกแต่งอีกมากกว่า 100 องค์ประกอบ โดยจะมากับ 2 โทนสีใหม่ สี Arancio Egon (สีส้ม) ที่จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสี Arancio Apodis (สีส้ม) และโทนสี Bianco Sapphirus (สีขาว) จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสี Terra Kedros (สีน้ำตาลแดง)
ราคาจำหน่ายของ Urus SE ในตลาดเมืองไทย จะมีราคาเริ่มต้นอยู๋ที่ 24.9 ล้านบาท