in

Lamborghini URUS SE ซูเปอร์เอสยูวี PHEV 800 แรงม้า เปิดตัวในไทย กับราคาเริ่มต้นที่ 24.9 ล้านบาท

Lamborghini Urus SE ซูเปอร์เอสยูวีปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของแบรนด์ เปิดตัวครั้งแรกในไทย ทรงพลังด้วยกำลังเครื่องรวม 800 แรงม้า เร่ง 0 – 100 ใน 3.4 วินาที วิ่งไกล ถึง 60 กม. ในโหมดไฟฟ้า เคาะราคาจำหน่ายเริ่มที่ 24.9 ล้านบาท

Lamborghini Urus SE

บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย เปิดตัว “Lamborghini Urus SE” ซูเปอร์เอสยูวีระบบปลั๊กอินไฮบริด รุ่นแรกของ Lamborghini ในเมืองไทย ที่มาพร้อมประสิทธิภาพ และประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุดในคลาสตามแบบฉบับลัมโบร์กินี 

Lamborghini Urus SE

Lamborghini Urus SE (ลัมโบร์กินี อูรุส เอสอี) มาพร้อมดีไซน์ใหม่ ที่เพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ รวมทั้งยังได้รับเทคโนโลยีช่วยการขับขี่ที่เหนือชั้น เสริมด้วยระบบ PHEV ที่ให้กำลังมากถึง 800 แรงม้า วิ่งโหมดไฟฟ้าล้วนได้ระยะทางไกลถึง 60 กม. ทำให้ Urus SE เป็นรถยนต์ที่มีความโดดเด่นที่สุดในรถยนต์คลาสเดียวกัน 

Lamborghini Urus SE

ในด้านงานออกแบบ มากับเส้นสายใหม่ ที่สะท้อนถึงรูปทรงแบบพลศาสตร์ ที่เน้นภาพลักษณ์ความเป็นรถสปอร์ต และความแข็งแกร่งบึกบึนได้อย่างโดดเด่น ส่วนหน้าหรูหราด้วยการออกแบบฝากระโปรงทรงใหม่แบบ Floating Design โดยลบเส้นสายที่เป็นตัวแบ่งส่วนต่าง ๆ ทิ้งไปเพื่อเสริมความรู้สึกลื่นไหลต่อเนื่องและเน้นย้ำถึงรูปทรงแบบนักกีฬา ชวนให้นึกถึงแนวคิดการออกแบบแนวใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรุ่น Revuelto 

Lamborghini Urus SE

Lamborghini Urus SE

นอกจากนี้ยังได้รับการติดตั้งชุดไฟหน้าที่ใช้เทคโนโลยี Matrix LED ซึ่งเป็นดีไซน์ซิกเนเจอร์ใหม่ล่าสุดที่มีแรงบันดาลใจมาจากหางวัวกระทิงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ลัมโบร์กินี

Lamborghini Urus SE

Lamborghini Urus SE

ส่วนการออกแบบส่วนท้ายให้ความสำคัญกับช่วงกว้าง ตกแต่งด้วยดิฟฟิวเซอร์แบบใหม่ และปรับช่องติดป้ายทะเบียนรถให้มีระดับต่ำลง ขณะที่ตะแกรงด้านหลังนำแรงบันดาลใจมาจากรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตของลัมโบร์กินีอย่าง Gallardo โดยผสานเส้นสายต่าง ๆ ได้อย่างกลมกลืน 

Lamborghini Urus SE

เชื่อมต่อชุดไฟท้ายด้วยดวงไฟรูปตัว “Y” ส่วนสปอยเลอร์ใหม่ยังทำงานร่วมกับดิฟฟิวเซอร์หลังในการช่วยเพิ่มแรงกดด้านหลังขณะวิ่งด้วยความเร็วสูงเพิ่มขึ้นถึง 35% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Urus S จึงเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่มากยิ่งขึ้น

Lamborghini Urus SE

อีกทั้งยังออกแบบท่อระบายลมที่ส่วนล่างตัวรถ และท่อลมเข้าแบบปรับปรุงใหม่ พร้อมดีไซน์ช่องทางลมให้ต่อเนื่องมากขึ้นเพื่อลดความร้อนของชิ้นส่วนและเครื่องยนต์ได้ดีกว่าเดิม ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่น Urus เดิมถึง 15% การออกแบบส่วนหน้ายังผสานกับการเพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ด้านล่างเพื่อช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของอากาศและระบายความร้อนให้กับระบบเบรก ซึ่งมีประสิทธิภาพการระบายความร้อนด้วยอากาศสูงขึ้นถึง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเก่า

Lamborghini Urus SE

ขณะที่ในส่วนชุดล้อของ Urus SE จะมากับดีไซน์ Galanthus ขนาด 23 นิ้วที่ถูกรัดด้วยยาง Pirelli P Zero 

Lamborghini Urus SE

ภายให้องโดยสาร ได้รับการตกแต่งใหม่ โดยมาพร้อมปรัชญาการออกแบบที่เรียกว่า “Feel like a pilot” เพื่อยกระดับปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักขับและระบบดิจิทัลภายใน แผงแดชบอร์ดติดตั้งดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว และจอทัชสกรีนขนาด 12.3 นิ้ว มาพร้อมกราฟิก Human Machine Interface (HMI) เวอร์ชันใหม่ที่ใช้งานได้ง่ายดายและเป็นธรรมชาติมากขึ้น พร้อมตกแต่งด้วยวัสดุอลูมิเนียมเคลือบผิวในรูปทรงตัว “Y” อันเป็นเอกลักษณ์ และยังหุ้มส่วนบานตกแต่ง แผงหน้าปัด เบาะนั่งด้วยวัสดุใหม่ นอกจากนี้ยังออกแบบแผงปุ่มกดแบบกลไกเพื่อให้ได้สัมผัสของการกดที่สมจริง

Lamborghini Urus SE

นอกจากนั้นออปชันการตกแต่งภายในยังมอบทางเลือกคู่สีอีกกว่า 47 แบบ และการเย็บตะเข็บตกแต่งถึง 4 สไตล์ (Q-citura stitching) พร้อมออปชันในโปรแกรมการตกแต่ง Ad Personam ที่ช่วยให้เจ้าของ Urus SE สร้างสรรค์รถยนต์ให้มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครเพียงหนึ่งเดียวในโลก

Lamborghini Urus SE

ในด้านพละกำลังจะมากับเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 4.0 ให้กำล้ง 456 kW หรือ 620 แรงม้า มาพร้อมแรงบิด 800 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 192 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 483 นิวต้นเมตร เมื่อผสานการทำงานจะมีกำลังรวมสูงสุด 800 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 950 นิวตันเมตร ระบบส่งด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เวอร์ชันใหม่ล่ มาพร้อมระบบ e-limited-slip differential ให้อัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.4 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 312 กม./ชม. ส่งผลทำให้ Urus SE เป็นรถยนต์ที่ทรงพลังสูงสุดของตระกูล Urus 

Lamborghini Urus SE

มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 10 โหมดโดยสามารถควบคมุสั่งงานได้จากแผงควบคุม “Tamburo” ที่ถูกติดตั้งบริเวณกลางคอนโซล อาทิ Strada, Sport, Corsa (สำหรับท้องถนนและสนามแข่ง), Neve, Sabbia และ Terra (สำหรับพื้นผิวที่มีการยึดเกาะที่แตกต่างจากพื้นยางมะตอย) จะสามารถทำงานร่วมกับออปชันระบบ EV Drive, Hybrid, Performance และ Recharge 

Lamborghini Urus SE

ด้านชุดแบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียมไอออนขนาดความจุ 25.7 kWh สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ไกลสุด 60 กม.โดยสามารถลดการปล่อยไอเสียได้มากถึง 80%เมื่อเทียบกับ Urus S

Lamborghini Urus SE

สำหรับเฉดสีตัวรถของ Urus SE มีให้เลือกมากมาย และออปชันการตกแต่งอีกมากกว่า 100 องค์ประกอบ โดยจะมากับ 2 โทนสีใหม่ สี Arancio Egon (สีส้ม) ที่จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสี Arancio Apodis (สีส้ม) และโทนสี Bianco Sapphirus (สีขาว) จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสี Terra Kedros (สีน้ำตาลแดง)

Lamborghini Urus SE

Lamborghini Urus SE

ราคาจำหน่ายของ Urus SE ในตลาดเมืองไทย จะมีราคาเริ่มต้นอยู๋ที่ 24.9 ล้านบาท