New Honda Accord Generation ที่ 11 ได้รับการสร้างสรรค์และพัฒนาขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์ความสะดวกสบาย และการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น โดยครั้งนี้ ได้ตัดรุ่น VTEC Turbo 1.5 ลิตร ออกไปอย่างสิ้นเชิง และมาใช้ระบบฟูลไฮบริด e:HEV ในทุกรุ่นย่อย มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง 2 ตัวในระบบเกียร์ E-CVT ที่มอบแรงบิดสูงสุด 335 นิวตัน-เมตร (มากกว่า Gen เก่า 20 นิวตันเมตร) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่มีประสิทธิภาพสูง ผสานการทำงานกับเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson-Cycle DOHC ให้กำลังสูงสุด 147 แรงม้า
โดยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกันแล้ว จะมีกำลังสูงสุด 207 แรงม้า (โดยสามารถสร้างอัตราเร่ง ในย่านความเร็วลอยตัว เพิ่มขึ้น 40%) และมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 7 – 8 วินาที โดยประมาณ ถึงแม้แม้ตัวขุมพลังจะไม่ได้มีความรุนแรง (เฉกเช่นรถ BEV ที่ทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน 0-100 กม./ชม. ใน 3-4 วินาที) แต่ New Honda Accord e:HEV ก็เพียงพอต่อการใช้งาน ในทุกย่านความเร็ว
บนเส้นทาง จ.ภูเก็ต – จ.กระบี่ New Honda Accord e:HEV ได้มอบฟิลลิ่งการขับขี่ที่ผ่อนคลาย และสะดวกสบายไปกับเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยอย่างแรกต้องกล่าวถึง ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า (EPS) ตอบสนองได้อย่างดีในทุกย่านความเร็ว เบาสบายในยามการจราจรหนาแน่น และคมกระชับฉับไวในย่านความเร็วสูงๆ ให้ความมั่นใจอย่างดี ในส่วนของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ตาม Eco Sticker สามารถทำได้ 25 กิโลเมตร/ลิตร ทว่าในการขับขี่การทดสอบ ไม่ได้เป็นเช่นนั้น อยู่ที่ประมาณ 14-15 กม./ลิตร โดยใช้ความเร็วเฉลี่ยในการเดินทางค่อนข้างสูง ด้วยเส้นทาง ขึ้น-ลง ภูเขาทางภาคใต้ (ไม่แพ้เส้นทางในภาคเหนือ) ลัดเลาะผ่านอุทยานแห่งชาติภูตาจอ อีกทั้งยัง ทดสอบสมรรถนะความลื่นไหลของระบบฟูลไฮบริด e:HEV ในช่วงที่ใช้อัตราเร่ง และเจนเนอเรชั่นพลังงานไฟฟ้า ได้รับการพัฒนามาใหม่ ให้เครื่องยนต์ติดและทำงานไวขึ้นกว่าเดิม ส่งมอบแรงบิด และอัตราเร่งที่ต่อเนื่องทันใจยามที่ต้องใช้ได้เป็นอย่างดี
และยังมีปุ่ม Paddle Shift ที่พวงมาลัย ซึ่งแท้ที่จริงเป็นระบบ Deceleration Paddle Selectors – ระบบชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (ใช้งานง่ายมี 6 เกียร์ หรือ สามารถสร้างแรงหน่วง ได้ 6 ระดับ) ลดระดับความเร็วได้ฟิลลิ่งใกล้เคียงกับ Engine Brake มากๆ และสามารถเจเนเรชั่นพลังไฟฟ้ากลับเข้าแบตเตอรี่ได้มากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย หากผู้ขับขี่มีความชำนาญในการใช้คันเร่งกับโหมดนี้ ก็จะขับขี่ได้ด้วยแป้นคันเร่งเพียงอย่างเดียวได้ โดยไม่ต้องใช้แป้นเบรกกันเลยทีเดียว
สำหรับการขับขี่ Honda Accord ในครั้งนี้ ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV ตัวรถจะปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานอย่างอัตโนมัติ ให้เหมาะสมกับ ทุกสถานการณ์การขับขี่ได้อย่างชาญฉลาด ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ระดับของแบตเตอรี่ สภาพถนน และพฤติกรรมในการขับขี่ โดยสามารถ ทำงานได้ 3 สถานะ
- EV Drive Mode ทำงานขณะออกตัว หรือขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ/ปานกลางคงที่ โดยมอเตอร์จะขับเคลื่อนล้อด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ออกตัวได้อย่างรวดเร็วทันใจโดยไม่ต้องรอรอบ และให้ความเงียบเช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า
- Hybrid Drive Mode ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลักในการขับเคลื่อน โดยใช้พลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากเครื่องยนต์และแบตเตอรี่ ทำให้เกิดแรงบิดสูงสุดอย่างรวดเร็ว และมีอัตราเร่งที่ตอบสนองทันใจ เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่ในขณะเพิ่มความเร็วหรือเร่งแซง
- Engine Drive Mode พลังขับเคลื่อนจะมาจากเครื่องยนต์ โดยชุดล็อกอัพคลัชท์ที่อยู่ในเกียร์ E-CVT จะเชื่อมต่อกับเครื่องยนต์ และส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังล้อโดยตรง ลดการสูญเสียพลังงานเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยม เป็นระบบที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูงคงที่
ทั้งยังมาพร้อมสวิตช์ฟังก์ชัน Drive Mode ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ 4 Mode ได้แก่ Individual Mode (สามารถเลือกรูปแบบการทำงานของระบบส่งกำลัง พวงมาลัย ระบบ Adaptive cruise control และสีของมาตรวัดได้อย่างอิสระ), Sport Mode, Normal Mode และโหมดการขับขี่แบบประหยัด ECON Mode
ส่วนของระบบช่วงล่าง วิศวกรของทาง Honda ยืนยันว่า ได้มีการพัฒนา และจูนอัพใหม่ โดยลด Friction ในทุกส่วนต่างๆไม่ว่าจะเป็น ระบบพวงมาลัย EPS และตามจุดหมุนของปีกนก และมัลติลิงค์ต่างๆ มอบความนุ่มนวลในห้องโดยสารได้เป็นอย่างดี แต่ก็หนึบและเอาอยู่ในยามเข้าโค้ง เป็นความลงตัวที่ยากจะบรรยาย อาจจะด้วยอานิสงส์ ของแบตเตอรี่ที่อยู่ด้านท้ายรถที่สามารถสร้างบาลานซ์ หน้า-หลัง ได้ดีมากขึ้น สามารถเซ็ทช่วงล่างได้ง่ายยิ่งขึ้น แม้ในยามที่โดยสารเบาะหลัง ก็รู้สึกสบาย ไม่เมารถ ไม่โยนย้วย ซับแรงกระแทกต่างๆจากถนนได้พอสมควร จะเหลือก็แต่ สัน-ขอบ-หลุมบ่อ ฝาท่อต่างๆ บนถนน ที่จะรู้สึกขึ้นมาถึงผู้โดยสารได้จาก ขนาดของล้อและยาง 235/45 R18 (ในรุ่น EL และ RS) ตามสไตล์รถบ้านยางบาง
เทคโนโลยีความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายลายตา แต่สิ่งที่ได้ใช้ใน Driving Trip ภูเก็ต – กระบี่ ครั้งนี้ คือ ระบบ Google Assistant บนเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย บนแอพลิเคชั่น Google Play สามารถสั่งงานด้วยเสียง “Hey Google” หรือด้วยการกดปุ่มบนพวงมาลัย โดยเฉพาะการใช้ Google Maps สำหรับผู้ขับขี่ ได้อย่างสะดวกสบาย เสมือนใช้งานโทรศัพท์มือถือเลยทีเดียว ทั้งยังมาพร้อมกับฟังก์ชั่น Navigation ที่แสดง Google Maps บนจอมาตรวัดเรือนไมล์ TFT Multi-information ขนาด 10.2 นิ้ว ตอบโจทย์ในการขับขี่มากๆ
อีกทั้งยังมีปุ่ม Experience Selection Dial ปุ่มลัด สู่ฟังก์ชั่นต่างๆ รูปแบบใหม่ของ Honda ที่ไม่เคยมีมาก่อน นับเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับหลายๆคน แต่เมื่อทำความคุ้นเคยแล้ว Experience Selection Dial สามารถหมุนเพื่อเลือกและบันทึกฟังก์ชันการใช้งาน ได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็น ปรับเลือกระบบปรับอากาศ ระบบเครื่องเสียง และไฟสร้างบรรยากาศ (Ambient Light) สามารถตั้งค่าผู้ใช้งานได้จำนวนสูงสุดถึง 8 แบบ
ระบบเครื่องเสียงพร้อมลำโพง BOSE 12 ตำแหน่ง ในทุกรุ่นย่อย ระบบฟอกอากาศภายในห้องโดยสาร Plasmacluster
เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับดันหลัง 4 ทิศทาง ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่ พร้อมเลื่อนอัตโนมัติเวลาขึ้น-ลงรถ เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ปุ่มปรับเบาะไฟฟ้าข้างพนักพิงเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า ระบบควบคุมประตูอัจฉริยะ (Honda Smart Key System) พร้อม Honda Smart Key Card
ช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ม่านบังแดดกระจกข้างด้านหลัง และอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) ช่องเชื่อมต่อ USB Type-C 4 ตำแหน่ง ได้แก่ ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง และด้านหลัง 2 ตำแหน่ง และระบบอัพเดตระบบ Infotainment และอัพเดตการทำงานของ ECU จากทางไกลได้ ผ่านทางระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว เพิ่มความสะดวกสบายโดยที่ไม่ต้องเข้าไปยังศูนย์บริการ เป็นต้น
ซึ่งนอกจากนี้ ในรถ D เซกเม้นท์ที่มีการแข่งขันกันสูงมากๆในเรื่องระบบความปลอดภัย อย่าง New Honda Accord e:HEV Gen11 ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ได้แก่ใหม่! ครั้งแรกใน Accord กับระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ (Adaptive Driving Beam: ADB) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS), ใหม่! ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN), ใหม่! ระบบเพิ่มความเสถียรและความคล่องตัวในการขับขี่ (Motion Management System: MMS)
ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS), ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ, ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ
ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง(รุ่น e:HEV EL และ e:HEV RS), ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) ถุงลม 8 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า ถุงลมด้านข้างคู่หน้า ม่านถุงลมด้านข้าง และ ใหม่ ถุงลมหัวเข่าคู่หน้าเซนเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด (รุ่น e:HEV EL และ e:HEV RS) ระบบควบคุมเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสาร (ANC) และ ใหม่ รุ่น e:HEV RS มาพร้อมเซนเซอร์ตรวจจับเสียงรบกวนจากพื้นถนน (Road noise ANC) และ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)
New Honda Accord e:HEV มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่
- รุ่น e:HEV RS ราคา 1,799,000 บาท
- รุ่น e:HEV EL ราคา 1,669,000 บาท
- รุ่น e:HEV E ราคา 1,529,000 บาท
สีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาวแพลทินัม (มุก) สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก) สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) และสีดำคริสตัล (มุก) พร้อมภายในสีดำ และสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
