หากจะพูดถึงรถอเนกประสงค์แบบ 7 ที่นั่ง PPV ตัวท็อปที่คุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดในตลาด แน่นอนว่าทุกคนต่างก็มีความเห็นที่ตรงกันว่า Nissan Terra Sport นั้นคือคำตอบ แต่ไฉนเลยยอดขายรถในกลุ่มนี้ Nissan กลับรั้งท้าย ยอดขายไม่ปังดังที่คิด วันนี้ Autostation.com จะมาช่วยวิเคราะห์ หลังจากที่ได้ไปทดลองขับมาแล้ว
สำหรับ Nissan Terra Sport นั้น จัดเป็นรุ่นท็อปไลน์ที่เปิดตัวตามหลังออกมาในวันที่ 1 มีนาคม 2023 หลังจากที่ Nissan ได้เปิดตัว Nissan Terra โฉม Minorchange ไปในวันที่ 19 สิงหาคม ปี 2021 โดยมีการเสริมภาพลักษณ์ที่สปอร์ตพรีเมียมมากยิ่งขึ้น ด้วยชุดแต่งกว่า 22 รายการ ที่มาพร้อมกับราคาสุดคุ้มค่า 1,555,000 บาท ซึ่งถือเป็นราคาที่ถูกที่สุดในบรรดารถ PPV ตัวท็อปที่ทำตลาดในประเทศไทย
อุปกรณ์ตกแต่งเฉพาะรุ่น Nissan Terra Sport ทั้งหมด 22 รายการ
ภายนอกเสริมชุดแต่งสีดำรอบคัน 16 รายการ
- กระจังหน้าสีดำ
- ชุดตกแต่งกันชนหน้าสีดำเงา
- ฝาครอบไฟตัดหมอกสีดำ
- แผงกันกระแทกด้านหน้าสีดำ
- กระจกมองข้างสีดำ
- คิ้วตกแต่งซุ้มล้อสีดำ
- มือจับประตูภายนอกสีดำ
- บันไดข้างสีดำ
- ราวหลังคาสีดำ
- เสาอากาศครีบฉลามสีดำ
- สปอยเลอร์หลังคาสีดำ
- คิ้วประตูท้ายสีดำ
- แผงประตูท้ายสีดำ
- แผงกันกระแทกด้านหลังสีดำ
- ชุดตกแต่งกันชนหลังสีดำเงา
- สัญลักษณ์ Sport ด้านหลัง
ภายในเสริมลุกสปอร์ตพรีเมียม 6 รายการ
- ช่องแอร์สีดำ
- กรอบและแผงคอนโซลหน้าสีดำ
- กรอบและที่พักแขนแผงประตูสีดำ
- กรอบและแผงคอนโซลกลางสีดำ
- ที่พักแขนคอนโซลกลางสีดำ
- เบาะนั่งสีดำเดินด้ายสีเทา
อุปกรณ์มาตรฐานระดับ Top Class
ทั้งหมดข้างต้นเป็นอุปกรณ์ตกแต่งที่เสริมเข้ามาในรุ่น Sport ที่เสริมภาพลักษณ์ความสปอร์ตพรีเมียมมากยิ่งขึ้น แต่ในเรื่องของอุปกรณ์มาตรฐาน ก็ต้องบอกว่า Nissan Terra ไม่น้อยหน้าใคร ไม่ว่าจะเป็น
ไฟหน้า Quad LED 4 ดวง ประสิทธิภาพสูงให้ความสว่างมากขึ้นถึง 34% ตัวโคมไฟถูกดีไซน์ให้เพรียวบาง ดูปราดเปรียว ไฟ Daytime Running Light และไฟตัดหมอกแบบ LED
ไฟท้าย LED แบบ Light Guide เส้นคู่ ให้ความรู้สึกล้ำสมัย ไฟเบรกแบบ LED ให้ทั้งความสว่าง
ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 18 นิ้ว ออกแบบให้สอดคล้องกับดีไซน์ภายนอก เพิ่มความสปอร์ต ด้วยการใช้สีทูโทนแบบปัดเงา
ด้านมิติตัวถังของ Nissan Terra Sport มีขนาดตัวถัง ยาว 4,890 มม. กว้าง 1,865 มม. และสูง 1,865 มม. ระยะฐานล้อ 2,850 มม. ระยะความสูงใต้ท้องรถ 225 มม. รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.7 เมตร
เหนือชั้นกว่า ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสบายทั้ง 7 ที่นั่ง
ภายนอกโดดเด่นกว้างขวางนั่งสบาย ตำแหน่งเบาะนั่งแถว 2 และ 3 ออกมาในรูปแบบ Theatre Style Seating ที่จะยกระดับสูงขึ้นไปเป็นชั้นๆ เพื่อให้ผู้โดยสารตอนหลังรู้สึกโปร่งโล่งสบาย ไม่อึดอัดแม้นั่งในแถวที่ 3 ก็สามารถมองเห็นทัศนวิสัยด้านหน้าได้อย่างชัดเจน
อีกทั้งยังเป็นรุ่นเดียวในกลุ่ม PPV ที่มาพร้อมกับระบบ Auto Tumble Seat ที่คอนโซลกลาง ซึ่งสามารถพับเบาะนั่งแถวที่ 2 อัตโนมัติแค่กดปุ่มเพียงจากสวิตช์แบบ 1-Touch Remote Fold & Tumble เพื่อความสะดวกในการขึ้นลงของผู้โดยสารแถวที่ 3
รวมไปถึงเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ และระบบความบันเทิงที่จัดเต็มแบบ Best in Class ไม่ว่าจะเป็น หน้าจออินโฟเทนเมนท์ขนาด 9″ ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto พร้อมระบบเสียงรอบทิศทางจาก BOSE ลำโพง 8 ตำแหน่ง พร้อมแอมพลิฟายเออร์
ด้านบนเพดานมาพร้อมกับหน้าจอขนาดใหญ่ 11 นิ้ว ที่สามารถรับชมสตรีมมิ่งช่องโปรด ทั้ง NetFlix และ Youtube ผ่านช่อง HDMI เพื่อมอบความบันเทิงให้กับผู้โดยสารตอนหลังได้ตลอดเส้นทาง
นอกจากนั้นแล้ว ในส่วนของช่องแอร์ยังออกแบบให้ครอบคลุมครบทั้ง 7 ที่นั่ง รวมถึงจุดเสียบชาร์จไฟที่มีให้ทั้งแบบ USB-A 3 ตำแหน่ง และ USB-C อีก 2 ตำแหน่ง รวมไปถึงแท่นชาร์จแบบไร้สาย (Wireless Charger) ที่ด้านหน้า
360° Safety Shield เทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน
ในเรื่องของระบบความปลอดภัย Nissan Terra Sport ให้มาครบ ไม่น้อยหน้าใครทั้งนั้น จะขาดไปก็แค่ Adaptive Cruse Control รายการเดียวเท่านั้น ซึ่งมันก็ไม่ใช่ปัจจัยใหญ่อะไร เพราะถ้าดูระบบความปลอดภัยทั้งหมดที่ให้มาแล้ว ถือว่ามากกว่าคู่แข่งที่แพงกว่าหลักแสนบาทหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
- เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง
- เทคโนโลยีกระจกมองหลังอัจฉริยะ
- เทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน
- เทคโนโลยีเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะ
- เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ
- เทคโนโลยีเตือนรถในมุมอับสายตา
- เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย
- เทคโนโลยีเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง
- เทคโนโลยีเตือนผู้ขับขี่เมื่อรู้สึกถึงการขาดสมาธิหรือเหนื่อยล้า
- เทคโนโลยีช่วยออกตัวบนทางลาดชัน
- เทคโนโลยีควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัจฉริยะ
- ระบบเบรก ABS
- ระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ถุงลม SRS คู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย รวม 6 ตำแหน่ง
เครื่องยนต์ Turbo คู่ ที่ถูกที่สุดในตลาด
ด้านขุมพลังเครื่องยนต์ ก็ต้องบอกว่า Nissan Terra Sport นั้น มีความโดดเด่นกว่าคู่แข่งในตลาด ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.3 ลิตร Twin Turbo ซึ่งเป็นแบบเทอร์โบคู่ โดยให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด
ซึ่งถ้าจะนำไปเทียบกับคู่แข่งที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ด้วยกัน ก็ต้องบอกว่าราคาค่าตัวของ Nissan Terra นั้นถูกกว่าหลายแสนบาท แม้สมรรถนะจะเป็นรองก็จริง แต่ถ้าดูจากตัวเลขแรงม้าในกลุ่มรถ PPV ทั้งหมดที่ไล่มาจาก 224 แรงม้า / 210 แรงม้า / 190 แรงม้า (มี 2 รุ่น) และ 181 แรงม้า Nissan Terra ก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร แถมมีกำลังให้เรียกใช้ทั้งรอบต่ำ และรอบสูง ในสไตล์แบบรถ Twin Turbo
เดินทางไกล กรุงเทพฯ – เขาค้อ แถมลุยทุ่งแสลงหลวง เป็นยังไง?
ทริปนี้เราได้เดินทางไปกับ Nissan Terra Sport ในรูปแบบคาราวานเส้นทาง กรุงเทพฯ – เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ระยะทางไป-กลับ ร่วมๆ 1,000 กม. โดยมีผู้โดยสารคันละ 3-4 ท่าน ซึ่งเป็นการทดสอบขับในรูปแบบรถครอบครัว ใช้งานเต็มพื้นที่ห้องโดยสาร
ในเรื่องของอัตราเร่ง Nissan Terra Sport ทำได้ดี ทั้งในจังหวะเร่งแซง หรือใช้ความเร็วคงที่แบบลอยตัว โดยมีแรงบิดมาให้ใช้งานตั้งแต่รอบต่ำ จังหวะเร่งแซง หรือไต่ทางชันจึงไม่ต้องเค้นรอบเครื่องยนต์ให้วุ่นวาย เดินคันเร่งไปเรื่อยๆ แบบสมูทๆ ก็สามารถผ่านไปได้แบบไร้กังวล ในช่วงความเร็วลอยตัว ก็ยังมีกำลังให้เผื่อใช้งานอีกนิดหน่อย จังหวะเร่งแซงที่ความเร็ว 120 กม./ชม. ขึ้นไป ทำได้ทันใจ ไม่รอรอบ ตำแหน่งของเกียร์ค่อนข้างแม่นยำ เพียง Kick Down ลงไปแรงๆ ตัวรถก็เหมือนจะรู้ความต้องการว่าต้องการใช้กำลัง จัดการเชนจ์เกียร์ลง และเร่งแซงให้ผ่านพ้นไปได้แบบสบายๆ
ช่วงล่างนิ่ง และมั่นคง ยอมรับตามตรงว่าประทับใจมาก ซึ่งโดยปกติแล้ว การขับขึ้นหรือลงเขาค้อฤดูฝน หากระบบช่วงล่างไม่ดี หรือมีการยึดเกาะที่ไม่มั่นคง ความสนุก และความมั่นใจในการขับขี่จะหายไปทันที แต่ไม่ใช่กับ Nissan Terra Sport เพราะนอกจากจะได้ความนุ่มนวล นั่งสบายแล้ว การยึดเกาะถนน และอาการโคลงเคลง ถือว่ามีน้อยมากถ้าเทียบกันในกลุ่ม PPV และยิ่งรุ่น Sport เป็นตัวท็อปที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้เลือกปรับได้ตามต้องการด้วยแล้ว ยิ่งมั่นใจในการขับเข้าไปใหญ่ สามารถเล่นโค้งได้อย่างสนุก ในขณะที่คนนั่งแถว 2 หรือแถว 3 ยังพูดคุย เฮฮา ดู Netflix จากจอกลาง 11 นิ้วได้ไม่เวียนหัว แค่นี้ก็ถือว่าตอบโจทย์แล้ว
เส้นทางลุย แม้จะไม่ได้เข้าไปสุดถึงสวนสน แต่ทว่าทุ่งแสลงหลวงในวันที่ฝนตก ก็ไม่ใช่เส้นทาง Off-Road กล้วยๆ ที่ใครหน้าไหนจะพิชิตได้ แต่ Nissan Terra Sport ที่ใส่โหมด 4H สามารถพาเราเข้าไปชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างสบายๆ การจัดการ และระบบช่วยเหลือต่างๆ ของตัวรถสามารถเอาอยู่ แถมมีหน้าจอที่แสดงภาพรอบคัน และสามารถวางไลน์ล้อได้แบบที่ไม่ต้องลงไปดู ยิ่งทำให้การขับขี่ในเส้นทางธรรมชาติสนุก และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ชนิดที่ว่ารองเท้าไม่เลอะโคลน เพราะไม่ต้องลงไปดูไลน์ให้เพื่อนเลยทีเดียว
ดีหมดทุกอย่าง แล้วทำไมขายไม่ดี?
ถ้าดูจากสเปคทั้งหมดของตัวรถ รวมถึงประสบการณ์ที่มีโอกาสได้ไปทดลองขับ และราคาจำหน่าย ต้องยอมรับว่า Nissan Terra Sport เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดในกลุ่มรถ PPV แต่ทว่าเหตุผลที่ขายไม่ดี หลังจากที่ได้พูดคุยกับคณะผู้บริหาร และพี่ๆ สื่อมวลชนที่ร่วมทริปไปด้วยกัน เป็นเพราะ
1. Nissan Terra มาช้าไป ตอนที่รถ PPV มีทำตลาดในประเทศไทย Nissan เลือกที่จะดัน X-Trail มาขายแข่ง แต่ทว่ามันไม่ใช่ทางเลือกที่ตอบโจทย์ หรือสู้กันได้ตรงๆ คนที่เลือกใช้รถ PPV มองถึงความอเนกประสงค์ นั่งได้ 7 ที่นั่ง และต้องการความแข็งแกร่งแบบรถกระบะ
2. ฐานแฟนคลับไม่มี ด้วยความที่มาช้า ฐานแฟนคลับเลยไม่มี แถมรถกระบะในค่ายก็ไม่ใช่รุ่นที่ได้รับความนิยมมากมายนัก นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเจ้าตลาดถึงขายได้ดีอยู่เจ้าเดียว แม้จะมีคนบ่นเรื่องอ็อพชั่น เรื่องเบาะแขวน แต่สุดท้ายเปิดตัวมาราคาเกือบ 2 ล้าน ก็ยังขายดี เพราะมีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น
3. ดีไซน์โบราณไปไหม? นี่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัย เพราะ Nissan Terra มาหลังสุด แต่ดีไซน์ไม่ได้ล้ำสมัยไปกว่าเพื่อนเลย แถมโฉมนี้ก็ยังเป็นแค่โฉม Minorchange ที่เปลี่ยนหน้า ทาปากมานิดหน่อย ในขณะที่เพื่อนๆ ไป All-New ไป Next-Gen กันหมดแล้ว ดีไซน์เลยตามใครไม่ทัน
4. ค่านิยมของสังคม PPV ประเด็นนี้คงตัดทิ้งไปไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่ซื้อรถ PPV ส่วนใหญ่ ไม่ได้มองถึงความคุ้มของตัวเงินกับอ็อพชั่น แต่มองถึงการซื้อภาพลักษณ์ให้ตัวเอง แม้จะไม่มีอ็อพชั่นอะไรก็ตาม แต่ขอซื้อเจ้าตลาด เวลาไปไหนมาไหนมันดูโก้กว่า คุณว่าจริงไหม?