ในปี 2023 นี้นับว่าเป็นปีทองของทางค่าย Lexus แบรนด์รถหรูจากประเทศญี่ปุ่น เพราะในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันทางเลกซัสได้เปิดตัวรถออกสู่ตลาดยานยยนต์โลกถึง 3 รุ่น นับตั้งแต่ Lexus LBX 2024 เอสยูวีขนาดเล็กใหม่ ขุมพลังไฮบริด 1.5 ลิตร พื้นฐานเดียวกันกับ Yaris Cross
รวมถึง All-New Lexus GX 2024 เอสยูวีหรูสายลุยใหม่ ขุมพลัง V6 เทอร์โบคู่ 3.4 ลิตร 349 แรงม้า และในวันเดียวกันที่เผยโฉม GX ทางเลกซัสก็ได้เปิดตัวรถเอสยูวีหรูรุ่นใหม่ ที่ใช้ชื่อว่า All-new Lexus TX ออกมาพร้อม ๆ กัน
สำหรับ All-new Lexus TX MY2024 เป็นรถเอสยูวีแบบ 3 แถว ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐาน GA-K platform แบบเดียวกันกับ Toyota Grand Highlander เอสยูวีขนาดกลางเวอร์ชั่นที่มีวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา
งานดีไซน์มาพร้อมภาษาการรออกแบบที่เรียกว่า “Unified Spindle” ที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของระบบแอโรไดนามิก โดยในส่วนของกระจังหน้ายังคงมาในทรง Spindle Grille ที่เป็นเอกลักษณ์ขอรถแบรนด์เลกซัส ในทุก ๆ รุ่น ด้านในออกแบบให้เป็นชั้น ๆ ด้านบนเปิดให้เป็นช่องรับลมขนาดเล็กที่ถูกขนาบข้างด้วยชุดไฟ LED ดีไซน์โฉบเฉี่ยว มาพร้อมไฟ DRL ที่เป็นเส้นตวัดที่ด้านปลายงอเหมือนตะขอ ส่วนตัวกันชนหน้ามาพร้อมช่องรับอากาศสีดำที่ด้านข้างจะมากับชุดไฟต้ดหมอกทรงกลมที่อยู่ในกรอบสีดำ
ขณะที่ด้านข้างตัวรถมาในแบบ Floating roof หลังคาแบบลอยตัว มาพร้อมเรือนกระจกที่กว้างขวาง หลังคาด้านท้ายอออกแบบให้ลาดเอียงเล็กน้อยเพื่อเสริมมาคลุคให้ดูสปอร์ตขึ้น ขณะที่ล้ออัลลอยนั้นจะมีให้เลือกขนาด 20 หรือ 22 นิ้ว
ส่วนด้านท้ายจะเป็นอีกจุดที่มีความแตกต่างจาก Grand Highlander อย่างชัดเจน โดยในส่วนชุดไฟท้าย LED จะมาในแบบเส้นที่วางยาวตลอดความกว้างตัวถัง อีกทั้งยังติดตราชื่อแบรนด์ L E X U S ไว้อยู่เหนือชุดไฟท้าย
ในด้านมิติขนาดตัวรถ TX จะมีความยาว 5,159 มม., กว้าง 1,989 มม., สูง 1,781 มม. และมีระยะฐานล้อที่ยาว 2,949 มม.
ภายในห้องโดยสารของ Lexus TX จะถูกออกแบบให้สไตล์มินิมอล เรียบง่าย แต่หรูหกรา และไฮเทค แผวแดชบอรฺ์ดจะมากับหน้าปัดดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว ที่วางอยู่ด้านหลังพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ที่มาพร้อมใระบบปรับความร้อน
ขยับมาตรงกลางจะได้รับการติดตั้งหน้าจออินโฟรเทนเมนต์แบบสัมผัสขนาด 14 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย อีกทั้งยังมาพร้อมกับหน้า HUD ที่สะท้อนข้อมูลไปยังกระจกบังลมหน้า
นอกจากนั้นยังได้รับชุดไฟ illumination, ระบบเสียงจากทาง Mark Levinson พร้อมลำโพง 21 ตัว,ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า, ช่องชาร์จ USB 7 ตำแหน่ง รวมไปถึงช่อง Power outlet ไฟ AC กว่า 3 ตำแหน่ง รอบห้องโดยสาร
เบาะนั่งคู่หน้ามากับระบบอุ่น และระบายอากาศ ในส่วนของเบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถเลือกได้ระหว่างเบาะแบบแยกหรือ Captain seat เพื่อให้กลายเป็นรถ 6 ที่นั่ง นอกจากนี้ยังสามารถเลือกติดตั้งคอนโซลระหว่างเบาะนั่งแถวที่ 2 สำหรับวางแก้วน้ำหรือสัมภาระต่าง ๆ
ในแง่ของพื้นเก็บสัมภาระก้านท้ายจะมีความจุอยู่ที่ 569 ลิตร เมื่อพับเบาะแถว 3 ลงจะเพิ่มขึ้นเป้น 1,625 ลิตร แต่ถ้าเมื่อพับเบาะแถวที่ 2 และ 3 ลง จะเพิ่มเพื้นที่ออกมาได้มากภึง 2,747 ลิตร
สำหรับระบบเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ จะได้รับการติดตั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ Lexus Safety System+ 3.0 เป็นชุดมาตรฐาน รวมถึงยังมาพร้อมกับระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติด้วยเรดาร์แบบไดนามิก, ระบบช่วยติดตามรถในเลน, ระบบป้องกันการชนล่วงหน้าพร้อมการตรวจจับคนเดินถนน, ระบบแจ้งเตือนการออกนอกเลนพร้อมระบบช่วยบังคับเลี้ยว, ระบบช่วยป้ายจราจร และระบบคาดการณ์ความเสี่ยงตามสถานการณ์การขับขี่ นอกจากนั้นยังได้รับระบบช่วยจอดอัตโนมัติ, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ
สำหรับขุมพลังขับเคลื่อนของ Lexus TX จะมีให้เลือกถึง 3 รูปแบบ
รุ่นเริ่มต้นจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.4 ลิตร เทอร์โบชาร์จ กำลัง 275 แรงม้า แรงบิด 429 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
ขณะที่ในใครต้องการความสนุกสนานมากขึ้นสามารถอัพเกรดเป็น TX 500h F Sport Performance จะได้รับการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน HYBRID MAX 4 สูบ 2.4 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ให้กำลังรวม 366 แรงม้า แรงบิด 554 นิวตันเมตร มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Direct4 AWD
และปิดท้ายด้วยรุ่นปลั๊กอินไฮบริด TX 550h+ โดยจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน V6 3.5 ลิตร ที่ทำงานผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า และเกียร์อัตโนมัติ E-CVT แบบแปรผันต่อเนื่อง ให้กำลังกำลังสูงสุด 406 แรงม้า สามารถวิ่งไฟฟ้า 53 กม. โดยจะมีอัตราประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 12.7 กม./ลิตร
สำหรับ Lexus TX จะมีให้เลือก 4 รุ่นย่อย ได้แก่ Standard, Premium, Luxury และ F Sport Performance โดยจะเริ่มส่งมอบรถได้ในช่วงเดือนกันยายนนี้ โดยจะเริ่มจากรุ่น TX 350 และ 500h ส่วนในรุ่น TX 550h+ จะมีขึ้นในช่วงสิ้นปีนี้ โดยจะมีวางจำหน่ายหลัก ๆในสหรัฐอเมริกา ส่วนราคาค่าตัวคาดจะถูกประกาศออกมาอีกครั้งในช่วงวันที่ลงโชว์รูม
