เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ทาง Denza แบรนด์รถหรูของทาง BYD ได้เปิดตัววางจำหน่าย Denza N9 เอสยูวี PHEV ตัวแรงในตลาดเมืองจีน ทางแบรนด์พรีเมียมของทางบีวายดี ก็เพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้าชาวจีนที่ชื่นชองความแตกต่าง ด้วยการเปิดตัว Denza N9 Black Warrior Black Edition ตามออกมาติด ๆ
สำหรับ Denza N9 Black Warrior Black Edition จะมากับการตกแต่งรอบคันด้วยโทนสีเข้มดำทั้งหมด โดยทางเดนซ่า เปิดราคาเริ่มที่ 389,800 – หยวน หรือราว ๆ 1.8 ล้านบาท
ในด้านงานออกแบบตัวรถจะเหมือนกับ Denza N9 ในรุ่นมาตรฐาน แต่จะ มาพร้อมกับความเข้มตามชื่อรถด้วยการตกตแต่งภายนอกรอบตัวถังให้เป็นโทนสีดำ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของแผงกันกระแทกใต้กันชนหน้า -หลัง คิ้วแต่งหลังซุ้มล้อหน้า นอกจากนั้นยังเสริมความดุด้วยการเปลี่ยนชุดล้อสีเงินขนาด 22 นิ้ว มาเป็นล้อดำ มาพร้อมติดตั้งชุดคาลิเปอร์เบรกสีเหลือง
ในด้านขนาดมิติตัวนถนั้นยังคงเดิม โดยจะความยาว 5,258 มม. กว้าง 2,030 มม. สูง 1,830 มม. และมีระยะฐานล้อยาว 3,125 มม. ตัวรถจะมีรัศมีวงเลี้ยวแคบสุดอยู่ที่ 4.65 เมตร
ภายในห้องโดยสารของ Denza N9 Black Warrior Black Edition ถึงแม้ว่าจะไม่มีภาพชุดเปิดเผยออกมาแต่ก็คาดว่าจะมาในโทนสีดำตามเฉดสีภายนอก และเหมือนกับชื่อรุ่น
โดยภายในยังคงมาในแบบ 6 ที่นั่ง (2+2+2) เบาะที่นั่งผู้ขับขี่จะเป็นแบบ Zero-Gravity มาพร้อมโหมดควีนไซส์ ส่วนเบาะแถวที่สองเป็นแบบ Captain Chair แยกจากกันมาพร้อมที่วางขา โดยแต่ละที่นั่งสามารถปรับไฟฟ้าได้ 14 ทิศทาง พร้อมระบบทำความร้อน ระบบระบายอากาศ และนวด พร้อมติดตั้งหน้าจอพื้นสำหรับควบคุมเบาะ และเครื่องปรับอากาศ
นอกจากนั้นผู้โดยสารด้านหลังยังจะได้รับหน้าจอแสดงความบันเทิงที่ติดตั้งไว้บนเพดาน โต๊ะพับขนาดเล็ก และยังติตดั้งที่ชาร์จสมาร์ตโฟนแบบไร้สายที่ให้กำลังชาร์จถึง 50W รวมทั้งยังมีตู้เก็บของที่มาพร้อมฟังก์ชันทำความร้อน และความเย็นขนาด 11 ลิตร ที่อยู่ด้านหลังคอนโซลกลาง ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 รองรับการปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง มาพร้อมระบบทำความร้อน รวมทั้งยังมากับหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามาที่มาขนาดใหญ่ถึง 3.2 ตร.ม. ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 3 แถว
แผงแดชบอร์ดจะขับเคลื่อนด้วยระบบ DiLink 150 ของ BYD โดยจะประกอบไปด้วยหน้าจอถึง 3 จอ ด้วยกันได้แก่ หน้าจอควบคุมกลางที่วางแบบลอยขนาด 17.3 นิ้ว, แผงหน้าปัด LCD ขนาด 13.2 นิ้ว และหน้าจอความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารตอนหน้าที่มีความคมชัดระดับ 2.5K ขนาด 13.2 นิ้ว ขับเคลื่อนด้วยชิปขนาด 4 นาโนเมตร นอกจากนี้ยังมีหน้า AR-HUD ขนาด 50 นิ้ว และหน้าจอสตรีมมิ่งสำหรับกระจกมองข้างแต่ละบาน
นอกจากนั้นยังได้รับระบบเสียง Devialet พร้อมลำโพง 26 ตัว หน้าจอเพดานด้านหลังขนาด 17.3 นิ้ว ที่สามารถเชื่อต่อกับสมารืตโฟนได้ มาพร้อมระบบผู้ช่วยเสียง AI และโหมดคาราโอเกะ
ในด้าระบบความปลอดภัย จะมากับระบบ God’s Eye B (DiPilot 300) ของบีวายดี ซึ่งรองรับด้วยลิดาร์ 128 เส้น เรดาร์คลื่นมิลลิเมตร 5 ตัว เรดาร์อัลตราโซนิก 12 ตัว และกล้อง 14 ตัว โดยระบบดังกล่างนี้จะรองรับระบบช่วยจอดอัตโนมัติในช่องจอดแนวตั้ง/ด้านข้าง/แนวทแยง,ระบบช่วยจอดระยะไกล,ระบบช่วยรักษาเลนฉุกเฉิน และระบบตรวจจับจุดบอด เป็นต้น
แน่นอน Denza N9 Black Warrior Black Edition ยังคงถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ e-Platform 3.0 ของ BYD ในด้านพละกำลังขับเคลื่อนจะมากับขุมพลัง PHEV ที่มากับเครื่องยนต์ 2.0T 204 แรงม้า ที่ให้แรงบิดดสูงุสดถึง 325 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยแบ่งเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 200 kW (262 แรงม้า) ที่อยู่ด้านหน้า และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบคู่ที่อยู่ด้านหลัง โดยแต่ละตัวมีกำลัง 240 kW (321 แรงม้า) ให้กำลัรวมทั้งระบบที่ 925 แรงม้า ส่งผลทำให้มีอัตราเร่งความเร็วจาก 0 – 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดของรถอยู่ที่ 230 กม./ชม.
มาพร้อมแบตเตอรี BYD Blade ขนาด 47 kWh มีระยะทางที่วิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนไกลถึง 202 กม. และวิ่งครอบคลุมระยทางไกลถึง 1,302 กม. เมื่อน้ำมันเต็มถัง พร้อมกับแบตเตอรี่ชาร์จไฟเต็ม พร้อมรองรับการชาร์จไฟแบบ DC ที่ให้กำลังไฟจาก 30% – 80% ในเวลา 19 นาที โดยทางเดนซ่าเคลมอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ที่ 6.3 ลิตร/100 กม. (ตามมาตรฐาน NEDC)
สำหรับราคาจำหน่ายด้วยการที่ตกแต่งเพียงเพิ่มความเข้ม และต้องการเพิ่มทางเลือก และกระตุ้นยอดบายให้มากขึ้น จึงทำให้มีราคาจำหน่ายเท่ากับในรุ่นมาตรฐานที่มีราคาจำหน่ายไว้ระหว่าง 389,800 – 449,800 หยวน หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 1.8 – 2.1 ล้านบาท