สิ้นสุดการรอคอยหลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ถูกนำมาโชว์ตัวที่ในงาน Motor Show 2023 ล่าสุดทาง บีวายดี ได้เปิดตัวประกาศราคาจำหน่าย DENZA D9 รถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบ MPV รถรุ่นใหม่ของทาง DENZA แบรนด์รถที่อยู่ในสังกัดชายคาของทาง BYD โยจะมีให้เลือก 2 รุ่น
ราคาจำหน่าย BYD DENZA D9
- BYD DENZA D9 รุ่น Premium 600 กม. ราคา 1,99,900 บาท
- BYD DENZA D9 รุ่น Preformance 580 กม. ราคา 2,699,900 บาท
โดย DENZA D9 เอ็มพีวีแบบลักชัวรี่รุ่นใหม่นี้ จะมาเป็นคู่ต่อกรกับรถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบเอ็มพีวีจากบ้านเดียวทั้ง ZEEKR 009, MG MAXUS 9, XPENG X9 ที่คาดว่ากำลังจะเข้ามาในเมื่อไทยเร็ว ๆ นี้ รวมทั้งเจ้าตลาดเอ็มพีวีหรูอย่าง Toyota Alphard
ในด้านงานออกแบบดีไซน์ DENZA D9 เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ที่มาในรูปแบบเอ็มพีวีลักชัวรี่ 3 แถว 7 ที่นั่ง มาพร้อมแนวติดการออกแบบ ที่เรียกว่า DENZA π-Motion ที่สะท้อนความโมเดิร์นและความหรูหราของแบรนด์ โดยผสานเทคโนโลยีและรูปลักษณ์ที่ทันสมัยเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
ด้านหน้ารถเป็นแบบ Pi Motio นำเสนอความโมเดิร์นและความหรูหรา มาพร้อมไฟหน้ารูปแบบ Meteor Arrow และกระจังหน้าแบบฝนดาวตกสีเงิน ตรงกลางติดตั้งโลโก้ตรงกลางที่เป็นพื้นสีฟ้า ขนาบข้างด้วยชุดไฟหน้า LED ดีไซน์โฉบเฉี่ยว พร้อมตกแต่งกระจังหน้า และชุดไฟหน้าหน้าด้วยเส้นสายโครเมียม
โดยชุดไฟหน้า และหลังจะเป็นแบบ LED ทั้งระบบ รวมทั้งในส่วนของไฟ DRL มาพร้อมระบบช่วยควบคุมไฟสูงอัจฉริยะ (IHBC), ไฟหน้า Follow-Me-Home, ระบบไฟส่องมุมอับสายตา LED เมื่อเปิดไฟเลี้ยงหรือหมุนพวงมาลัยเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ
ด้านข้างตัวรถออกแบบด้วยเส้นสายที่ราบเรียบ ประตูคู่บานหลังจะถูกเปิดแบบบานสไลด์ทั้ง 2 ฝั่ง พร้อมตกแต่งด้วยวัสดุโครเมียมที่กรอบหน้าต่าง มาพร้อมล้ออัลลอยลายก้านซี่ขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 235/60 R18
ขณะที่ด้านท้ายตัวรถมากับชุดไฟท้าย LED แบบพาดยาวเต็มพื้นที่ พร้อมติดตั้งสปอยเลอร์หลังคา และไฟเบรกดวงที่สาม ขณะที่ชุดไฟเลี้ยวด้านหลังจะเป็นแบบ Sequential
ในด้านมิติตัวรถมีความยาว 5,250 มม. กว้าง 1,960 มม. สูง 1,920 มม. และระยะฐานล้อ 3,110 มม. ความสูงใต้ท้องรถไม่รวมน้ำหนักบรรทุก 156 มม. และมีรัศมีวงเลี้ยวอยู่ที่ 5.95 เมตร
ภายในห้องโดยสารจัดเต็มด้วยความหรูหรา และสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน เบาะที่นั่งจะเป็นแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง (2+2+3)
โดยตัวเบาะจะถูกหุ้มด้วยหนัง Nappa นอกจากนั้นภายในยังถูกตกแต่งด้วยวัสดุลายไม้วีเนียร์ และวัสดุสีดำ Piano Black
ในส่วนแผงแดชบอร์ดติดตั้งหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ LCD ขนาด 10.25 นิ้ว แบบ 3 มิติ มาพร้อมหน้าจออินโฟเทนเมนต์แบบสัมผัสขนาด 15.6 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay® และ Android Auto™ แบบไร้สาย มาพร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียงแบบ Denza Link และรองรับการอัปเกรดแบบ OTA
โดยในรุ่น Performance AWD จะได้รับเหน้าจอ W-HUD เพิ่มโดยมีขนาด 12 นิ้ว มาพร้อมระบบเครื่องเสียงพรีเมียมแบบ Hi-Fi Class Dynaudio พร้อมสำโพง 14 ตำแหน่ง
อีกทั้งยังได้รับหน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดียสำหรับผู้โดยสารด้านหน้าขนาด 6 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ
เติมความหรูหราระดับไฮเอทด้วยคันเกียร์แบบคริสตัล, กระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติ พร้อมกระจกมองหลังแบบสตรีมมิ่งกล้องมองภาพ (สำหรับรุ่น Performance AWD), กุญแจนิรภัยแบบอัจฉริยะ พร้อมระบบ Push Star, ชุดไฟ Ambient Light ที่สร้างบรรยากาศแบบมัลติคัลเลอร์ พร้อมโหมดต่างๆ เพื่อปรับบรรยากาศห้องโดยสารให้มีความหรูหราเพิ่มมากยิ่งขึ้น
เบาะนั่งผู้ขับขี่ และผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางพร้อมระบบพนักพิงดันหลังไฟฟ้า 4 ทิศทาง ระบบจดจำตำแหน่งที่นั่งเบาะคนขับ
ส่วนเบาะนั่งโดยสารแถวที่สองปรับไฟฟ้า 4 ทิศทางพร้อมระบบพนักพิงดันหลังไฟฟ้า 4 ทิศทาง มาพร้อมระบบนวดไฟฟ้าและระบบระบายอากาศ ระบบจดจำตำแหน่งเบาะนั่งโดยสารแถวที่สอง โดยสั่งงานจากหน้าจอ LCD แบบมัลติฟังก์ชันที่ติดตั้งอยู๋ที่บริเวณที่พักแขนแถว
ทั้งนี้เบาะนั่งยังมาพร้อมกับพนักพิงศรีษะที่สามารถปรับระดับสูงต่ำ และการปรับทรงให้เข้ากับสรีระศรีษะได้ 2 ทิศทางสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า และ ปรับทรงให้เข้ากับสรีระศรีษะ 4 ทิศทางสำหรับผู้โดยสารแถวที่สอง
รวมทั้งยังติดตั้งตู้แช่เย็นที่อยู่ระหว่างเบาะแถวที่ 2 ขนาด 5L ที่สามารถปรับช่วงองศาได้ตั้งแต่ -6 จนถึง 50 องศา และที่วางแก้วรอบคัน 12 ใบ ครอบคลุมทุกที่นั่ง
ด้านระบบปรับอากาศเป็นแบบอิสระ 3 โซน มาพร้อมระบบกรองอากาศ IONIZER และระบบกรองฝุ่น PM5 แบบประสิทธิภาพสูง (CN95)
ขณะที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือจะเป็นแบบไร้สายที่มีมาให้ถึง 3 จุด (กำลังสูงสุด 50W) ประกอบด้วย 1 จุดในห้องโดยสารตอนหน้า และ 2 จุด สำหรับเบาะนั่งผู้โดยสารแถวที่สอง
รวมทั้งยังมีแหล่งจ่ายไฟรอบคัน 7 จุด แบ่งเป็น
- ช่องจ่ายไฟ 12V และ ช่อง USB – C และ USB – A อย่างละ 1 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า
- ช่อง USB – C 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารแถวที่สอง
- ช่อง USB – C 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารแถวที่สาม
ปิดท้ายด้วยซันรูฟพร้อมม่านบังแดดสำหรับห้องโดยสารด้านหน้า และหลังคากระจกขนาด 1.1 ตารางเมตร พร้อมม่านบังแดดเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้าสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง นอกจากนั้นห้องโดยสารสำหรับรุ่น Performance AWD จะบุด้วยหนังกลับแบบพรีเมียม ส่วนในรุ่น Premium จะบุด้วยผ้า
ขณะที่ด้านท้ายมีพื้นเมื่อเปิดประตูท้ายแบบไฟฟ้าขึ้นจะมีพื้นที่เก็บสัมภาะจุด้านท้ายที่มีความจุที่ 410 ลิตร พับเบาะจะเพิ่มความจุมากถึง 2,310 ลิตร
นอกจากนี้ BYD DENZA D9 ยังมาพร้อมกระจกเปิดปิดอัตโนมัติแบบสัมผัสสวิตช์ครั้งเดียวพร้อมระบบป้องกันการหนีบ, กระจกมองข้างพับเก็บอัตโนมัติและปรับองศาไฟฟ้า พร้อมระบบทำความร้อนไล่ฝ้า, กระจกมองข้างพับเก็บไฟฟ้า, ระบบจดจำองศากระจกมองหลัง,เซ็นทรัลล็อก, ประตูท้ายเปิด-ปิดไฟฟ้า (สามารถตั้งค่าการจดจำตำแหน่งได้), ระบบ Keyless Entry และ Keyless Start, ระบบควบคุมการสตาร์ทรถยนต์ระยะไกล, ระบบควบคุมการเปิดแอร์ล่วงหน้าระยะไกล, รองรับการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 4G, รองรับการอัพเดทซอฟแวร์ผ่านสัญญาณอินเตอร์เน็ต (OTA), DENZA กุญแจดิจิตอล NFC ที่จะเปลี่ยนโทรศัพท์ของคุณเป็นกุญแจอัจฉริยะ และระบบกุญแจแบบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ NFC
DENZA D9 ถูกสร้างขึ้นบน e-Platform 3.0 ที่พัฒนาเฉพาะสำหรับรถพลังงานไฟฟ้าที่เป็นเอกสิทธิ์ของ BYD ที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนแบบ 8 in 1 มีให้เลือกทั้งแบบมอเอตร์ไฟฟ้าตัวเดี่ยวขับเคลื่อน 2 ล้อและมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อน 4 ล้อ
โดยในรุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าตัวเดี่ยวจะติดตั้งอยู่ที่คู่ล้อหน้าให้กำลัง 230 kW (308 แรงม้า) แรงบิด 360 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลา 9.5 วินาที มาพร้อมชุดแบตเตอรี่ Blade Battery Lithium-ion LFP ขนาด 103.36 kWh ชาร์จไฟเต็มจะให้ระยะทางวิ่งไกล 600 กม. (NEDC)
ส่วนในรุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อจะให้กำลังรวม 275 kW (369 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ในเวลา 6.9 วินาที จับคู่กับแบตเตอรี่ Blade Battery Lithium-ion LFP ขนาด 103.36 kWh ชาร์จไฟจะให้ระยะทางวิ่งไกลสุด 580 กม. (NEDC)
รองรับการชาร์จทั้งแบบ AC ที่รองรับกำลังไฟสูงสุด 11 kW แบบ 3 เฟส และชาร์จแบบ DC แบบ CCS2 ที่รองรับกำลังไฟสูงสุด 166 kW ให้กำลังไฟจาก 30-80% ในเวลา 10 นาที มาพร้อมระบบ V2L ที่ปล่อยกระแสไฟไปยังชุดอุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอก
ด้านระบบช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังแบบมัลติลิงก มาพร้อมกับดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายอากาศทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
โดยรุ่น Premium ติดตั้งระบบกันสะเทือนปรับอัตโนมัติตามความเร็วแบบ FSD ขณะที่ในรุ่น Performance จะติดตั้งระบบกันสะเทือนอัจฉริยะ DiSus-C ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ BYD ในประเทศไทย
DENZA D9 ยังมาพร้อมความโดดเด่นของเทคโนโลยีอีกมากมายเพื่อการขับขี่อัจฉริยะ ไม่ว่าจะเป็น กล้อง
มองภาพรอบคัน 360 องศา, เซนเซอร์ช่วยตรวจจับวัตถุรอบคัน 8 ตำแหน่ง รวมถึงเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ที่ครบครันสำหรับทุกเส้นทาง อาทิ ระบบช่วยแจ้งเตือนอันตรายจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่ (DMS), ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC), ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันอัจฉริยะ (ICC),ระบบจดจำป้ายสัญญาณจราจร (TSR)
ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB), ระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้า (FCW), ระบบช่วยเตือนการชนด้านหลัง (RCW),ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW), ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน (LCA), ระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถฉุกเฉิน (ELKA), ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านจุดอับสายตาด้านหน้า (FCTA), ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านจุดอับสายตาด้านหน้า (FCTB), ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA), ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB), ระบบช่วยเปิดไฟสูงอัตโนมัติ (HMA), ระบบช่วยเตือนจุดอับสายตา (BSD), ระบบช่วยเตือนวัตถุเคลื่อนผ่านขณะเปิดประตู (DOW), ระบบช่วยควบคุมและช่วยป้องกันการพลิกคว่ำ (RMI), ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ (ESC), ระบบช่วยป้องกันการลื่นไถลขณะขับขี่ (TCS), ระบบช่วยควบคุมการไหลของรถอัตโนมัติ (AVH), ระบบควบคุมการทรงตัวบนทางลาดชัน (HHC), ระบบช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC), ระบบช่วยเตือนจุดอับสายตา (BSD) และระบบช่วยควบคุมและช่วยป้องกันการพลิกคว่ำ (RMI)
DENZA D9 จะมีสีตัวถังภายนอก มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน Whale Sea Blue, สีดำ Quantum Black, สีขาว Arctic White และสีเทา Habour Grey ส่วนภายในห้องโดยสาร มีให้เลือก 2 สี สีเบจ Beige และ สีน้ำตาล Brown
