หลังจากที่ทาง เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้ประกาศเปิดตัว ประกาศราคาจำหน่ายของ GWM TANK 300 HEV รถเอสยูวีสายพันธุ์ใหม่ ออกได้มาสักระยะ ทาง GMW ก็ได้เชิญชวนสื่อมวลชนเข้ารวมสัมผัสยนตกรรมตัวใหม่ของทางค่าย ซึ่งทางทีมงาน Autostation.com ก็เป็นหนึ่งที่ได้รับหมายเชิญดังกล่าว
สำหรับเส้นทางในการทดลองขับครั้งนี้ทาง GWM ได้จัดเส้นทางให้ลอง และสัมผัสเจ้า GWM TANK 300 HEV กันอย่างเต็มที่ บนเส้นทางการใช้งานจริง ทั้งแบบออนโรด และออฟโรด ในระยะทางไปกลับกว่า 300 กม.
เริ่มสตาร์ทกันที่ GWM Prestige บนเส้นถนนธัญบุรี มุ่งหน้าสู่เขายายเที่ยง จ.นครราชสีมา ส่วนอารมณ์การขับขี่จะเป็นอย่างไร ระบบเทคโนโลยีการขับขี่แบบออฟโรดที่อยู่ในระดับ Luxury จะใช้ได้จริงมั้ย สมกับราคาที่ถูกเปิดออกเริ่มต้นที่ 1.649 ล้านบาท หรือไม่ เราไปทำความรู้จักกับ GWM TANK 300 SUV ไฮบริดดีไซน์เท่ห์ คันนี้กันเลยครับ
สำหรับบทความนี้ เราจะพูดถึง สมรรถนะการขับขี่ของ GWM TANK 300 SUV เท่านั้น ส่วนในเรื่องของ สเปค และรายละเอียดของตัวรถทั้งหมด สามารถย้อนกลับไปอ่านได้ที่ All New GWM TANK 300 HEV เอสยูวีสายพันธุ์ออฟโรดขุมพลังไฮบริด ราคาเริ่ม 1.649 ล้านบาท หรือชมการรีวิวแบบจัดเต็มย้อนกลับไปดูได้ที่
รูปลักษณ์โดดเด่น ดูดี ตั้งแต่ยังไม่ได้ขับ
สัมผัสแรกที่เข้าไปเห็นเจ้า GWM TANK 300 HEV โดยในรุ่นที่ได้นำมาทดลองขับในวันนี้จะเป็นตัว Top ที่ต้องบอกเลยว่าหน้าตาหล่อเหลา มีความโหด ดิบดุ อยู่พอสมควร งานดีไซน์มีการผสมผสานความทันสมัย และสไตลฺ์เรโทร เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ไม่วาจะเป็นกระจังหน้าแบบ Rectangle ตัดขอบสีดำเงาที่รวมการจัดเรียงของไฟหน้าทรงกลมตัด DRL ทรงเหลี่ยม รับด้วยช่องระบายอากาศสีดำเงาและโลโก้ TANK
เสริมความเท่ด้วยกันชนดีไซน์ออฟโรดร่วมสมัย บังโคลนขนาดใหญ่ และบันไดข้าง รับดีไซน์หลังแบบออฟโรดด้วยประตูท้ายแบบ Horizontal และยางอะไหล่ติดประตูท้าย พร้อมด้วยกล้องมองหลังที่ซ่อนอยู่บนฝาครอบยางอะไหล่ได้อย่างลงตัว
มาพร้อมชุดไฟหน้า Intelligent LED ที่มากับระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ, ปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ และไฟ Follow Me Home มาพร้อมไฟ DRL และไฟตัดหมอก LED
ส่วนท้ายของตัวรถมีไฟท้ายเป็นแบบ Vertical LED มาพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 และไฟตัดหมอก LED หลังคาซันรูฟแบบเปิด–ปิดด้วยระบบไฟฟ้าที่มาพร้อมราวหลังคาและเสาอากาศแบบ Shark Fin อีกทั้งยังมีล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สีดำ พร้อมยาง A/T ขนาด 265/65 R17
ภายในหรูหราสไตล์พรีเมียมออฟโรด
หลังจากที่ได้เดนสำรวจ รายละเอียดภายนอกของ GWM TANK 300 HEV ก็ถึงเวลาช่วงทดสองขับของจริงเพิ่แให้รับรู้ถึงสรรมถนะที่แท้ทรูของ TANK 300 คันนี้ โดยตัวผู้เขียนรับหน้าที่เป็นไม้แรกของ โดยภายในรถมีสมาชิกอีก 2 ท่าน
สำหรับงานดีไซน์ภายในห้องโดยสารโดยรวมของ GWM TANK 300 HEV ต้องบอกว่ามาพร้อมความหรูหรา ทันสมัย กว้างขวาง และสะดวกสบาย จัดเต็มในสไตล์พรีเมียมออฟโรด
ตัวเบาะที่นั่งเน้นงานที่หรู ดูแพง เพราะตัวเบาะถูกหุ้ทด้วยหนัง NAPPA อีกทั้งยังปรับด้วยไฟฟ้า มาพร้อมระบบเบาะนวด และระบบดันหลังไฟฟ้า
ในด้านทัศนวิสัยการมอง ตอนขับขี่นั้นต้องบอกว่าดีเยี่ยมด้วยตัวรถที่มีความใหญ่ และมีระยะต่ำสุดถึงพื้น Ground Clearance 224 มม. จึงช่วยให้การขับขี่มีทัศนวิสัยที่ดีงาม
นอกจากนั้นยังมีพื้นที่เก็บของที่กว้างขวาง ด้วยงานออกแบบให้ตัวรถที่ความยาวมากถึง 4,760 มม. มาพร้อมกับฐานล้อที่ยาว 2,750 มม. ซึ่งเรียกว่าเทียบขนาดมิติใหญ่พอ ๆ กับ รถ PPV แบบ 7 ที่นั่ง บางยี่ห้อที่มีวางจำหน่ายในบางเรา ทั้ง ๆ ที่ GWM TANK 300 HEV เป็นรถเอสยูวีแบบ 5 ที่นั่ง
ฟังก์ชั่นการใช้งานชุดอุปกรณ์ภายในนั้น ใช้งานสะดวก การจัดวางอยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานได้งาน ไม่ว่าจะเป็นปุ่มปรับโหมดต่าง ๆ มาพร้อมคันเกียร์ไฟฟ้า ที่ออกแบบให้ดูทันสมัย
วิ่งออนโรดดูดี แต่ยังไม่สุด
ในด้านรูปลัฏษณ์หน้าตา รวมถึงขนาดมิติตัวถังของ GWM TANK 300 Hybrid SUV นั้นดูดีไม่เป็นรองใครในรถระดับเดียวกัน แต่ในขณะที่ด้านพละกำลังต้องออกตัวไว้ก่อนว่า ระบบไฮบริดของเจ้า TANK 300 HEV นั้นมีมาเพื่อเสริมพละกำลังแรงม้า และแรงบิดเท่านั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อช่วยให้ประหยัดน้ำมันเหมือนกับรถไฮบริดทั่วไป
เริ่มจากขับขี่โดยจะเริ่มจากการปรับโหมดมาอยู่ที่โหมด ECO โดยในโหมดนี้ตัวรถจะปรับการขับขีจาก 4 ล้อ มาเป็นแบบ 2 ล้อหลัง เพื่อให้ช่วยเซฟในเรื่องของอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว เทอร์โบชาร์จ ให้กำลัง 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ทำงานผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 106 แรงม้า แรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 268 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ DCT 9 จังหวะ นั้นในช่วยออกตัวจะมาในแนวที่ออกจะนุ่มนวล ไม่กระโฉกโฮกฮาก ดูจะออกแนวราบเรียบ และเงียบเหมือนกำลังขับรถรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ จังหวะเร่งแซงก็ไม่ได้ปรู๊ดปร๊าด จี๊ดจ๊าด พละจะค่อยๆ ขึ้น
นอกจากนั้นเมื่อปรับในโหมด ECO พวงมาลัยจะถูกปรับตามให้มีความเบา จนมีความรู้สุกว่าขับแล้วไม่มีการมั่นคง แต่ระบบนี้เราสามารถเข้าไปปรับเปลี่ยนได้ที่หน้าจอสั่งการตรงกลางที่มีขนาด 12.3 นิ้ว ซึ่งในการปรับเปลี่ยนก็สามารถทำได้อย่างไม่ดายไม่ซับซ้อน เพราะระบบสั่งการต่าง ๆ ของเจ้า TANK 300 คันนี้รองรับภาษาไทย ซึ่งโดยสรุปสำหรับในโหมดนี้จะอยู่ที่การขับใช้งานในเมืองเป็นหลัก หรือว่าถ้าจะนำมาขับขี่ทางไกล ก็จะเน้นการขับแบบชิว ๆ ไปเรื่อย ขับแบบยาว ๆ เพื่อเน้นความประหยัด
หลังจากนั้นลงปรับเข้ามาสู่โหมด Normal พละกำลังของเครื่องยนต์ ดูกระชับกระเชงขึ้น ตัวรถมีการพุ่งมากกว่าในโหมด ECO อย่างเห็นได้ชัด
พอเปลี่ยนมาเป็นโหมดสุดท้ายในโหมด Sport จังหวะรอบเครื่องยนต์ และเสียงของเสียงคำรามพุ่งขึ้นมาทันที่ ระบบขับเคลื่อนจะปรับมาเป็นแบบ 4 ล้อเต็มรูปแบบ จังหวะที่เหยียบส่งคันเร่ง ตัวรถพุ่งทยานไปข้างหน้าดั่งคิด แต่ก็ไม่ถึงกับประเภทหลังติดเบาะ เพียงให้ความรู้สึกแค่มีความคล่องตัวขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องแลกมาด้วยอัตราสิ้นเปลืองของน้ำมันที่เพิ่มมากขึ้น
สำหรับการเก็บเสียง ด้วยงานออกแบบในสไตล์ BOXY หรือทรงกล่องสี่เหลี่ยม หากเราใช้ความเร็วในที่เกิน 110 กม./ชม. ขึ้นไปจะมาพร้อมกับเสียงลมจากภายนอกที่ดังอยู่ตลอดเวลา ส่วนเสียงเครื่องยนต์นั้นถือว่าทำออกมาได้ดีเกินคาด จะมีเสียงดังอีกอย่างคือเสียงของยางเมื่อบดกับถนนเท่านั้น
ในด้านการทรงตัว ของ GWM TANK 300 HEV ด้วยรูปทรงของตัวรถที่เป็นทรงยกสูง การเหวียงไปมาของตัวรถอยู่ในระดับที่รับได้ ไม่โคลงเคล้ง โยกเยก ร่อนให้เสียอาการ แต่จะมีออกอาการเล็ก ๆ ถ้าเข้าโค้งด้วยความเร็วเกินลิมิติ ระบบช่วงล่างที่ปรับเซทมาอย่างนุ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง นั่งสบาย
ด้าน Handling พวงมาลัยสามารถปรับความหนัก และความหนืดได้ 3 โหมด ทั้ง เบา / มาตรฐาน และ สปอร์ต ซึ่งคุณผู้หญิงที่ขึ้นมาขับสามารถปรับเป็นโหมดเบาได้ เพื่อให้ง่ายต่อการขับขี่ แต่ถ้าคุณผู้ชายที่ชอบความหนักแน่น และมั่นใจ ปรับไปโหมดสปอร์ต จะรู้สึกเฟิร์มขึ้นมาทันที
ระบบความปลอดภัย และออปชั่นจัดเต็มแบบ
ในด้านระบบความปลอดภัยของ GWM TANK 30 HEV ต้องบอกว่าถ้าเทียบกับรถกลุ่ม PPV หรือแม้กระทั่งรถเอสยูวีทั่วไป TANK 300 ถือว่าจัดเต็ม มีอะไรดี ๆ ขนมาใส่แบบไม่ยั่ง เรียกว่า เทียบกับ TANK 500 ได้เลย ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ, ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ, ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ, กล้อง 360 องศา, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก, ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน, ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน และที่ตัวผู้เขียนชอบอย่างยิ่งก็คือระบบเรดาห์ที่แสดงภาพแบบสามมิติ ให้เห้นตัวรถแบบรอบคัน โดยจะแสดงขึ้นมาที่หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่
เส้นทางออฟโรด ไปได้จริง และดีด้วย
หลังจากที่ได้ทดลองขับบนเส้นทางถนนแบบออนโรดไปแล้ว ทาง GWM ก็ได้จัดเส้นทางพื้นที่ธรรมชาติบนเขายายเที่ยง เพื่อทดสอบสมรรถนะ และเทคโนโลยีการขับขี่แบบออฟโรดอย่างเต็มรูปแบบ ในระยะทางกว่า 20 กิโลเมตร
ซึ่งโหมดการขับขี่ของ TANK 300 HEV นอกจากจะมีโหม ECO / Normal / Sport ที่มีไว้สำหรับบนเส้นทางออนโรด แล้วยังมีโหมดสำหรับรองรับเส้นทางออฟโรดทั้ง โหมดพื้นหิมะ /โหมดพื้นโคลน /โหมดพื้นทราย และโหมด 4L
โดยหลังจากเข้ามาสู่เส้นทางถนนออฟโรด เพื่อให้ตัวรถไปได้อย่างสะดวก ก็ได้ปรับเปลี่ยนมาใช้โหมดการขับขี่แบบ 4L ซึ่งหลังจากปรับเปลี่ยนโหมดแล้ว สิ่งแรกที่จะได้สัมผัสก็คือเสียงคำรามของเครื่องยนต์ที่ดังออกมาตลอดเวลา รวมทั้งระบบขับเคลื่อนจะเปลี่ยนมาเป็นแบบ 4 ล้อ อัตโนมัติ
สำหรับสภาพเส้นทางออฟโรดบนพื้นที่ของเขายายเที่ยง จะมีพื้นสภาพเป็นภูเขาที่มีความสูงชัน สลับกับหิน และเส้นทางที่กลายเป็นโคลนเนื่องจากฝนตกเกือบตลอดการเดินทาง
ด้วยตัวรถที่มีความสูงจากพื้นที่มากถึง 224 มม. ที่มาพร้อมมุม Departure Angle 34°, มุม Ramp Angle 23° และมุม Approach Angle 33°
รวมอีกทั้งยังได้ติดตั้งล้อขนาด 17 นิ้ว ที่มาพร้อมยาง Continental Horse AT ของรุ่น ULTRA ผสานกับพละกำลังของเครื่องยนต์ที่มีแรงบิดมากถึง 380 นิวตันเมตร มาพร้อมผสานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 106 แรงม้า และแรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 268 นิวตันเมตร
รวมทั้งยังได้รับเทคโนโลยีการขับขี่แบบออฟโรด ที่หาได้เฉพาะกับรถเอสยูวีในระดับ Luxury ไม่ว่าจะเป็น ระบบล็อกเฟืองขับด้านหน้า และด้านหลัง (Electric Differential Lock for Front and Rear Axles) ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรดโดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับทางชัน แคบ และลักษณะพื้นที่ ที่เป็นหินต่างระดับซับซ้อนบนเขายายเที่ยง
แต่ด้วยกลไกการถ่ายโอนกำลัง ที่ทำงานร่วมกันกับกลไกล็อกของกล่องถ่ายโอนทั้งล้อหน้าและล้อหลัง สร้างระบบขับเคลื่อนออฟโรดแบบ 3 Locks เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ออฟโรดที่ดีเยี่ยม จึงทำให้สามารถผ่านพื้นที่ที่ยากลำบากมาได้อย่างง่ายดาย
รวมถึงระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบ Off-road (Off-road Cruise Control) ที่จะควบคุมเครื่องยนต์ และระบบเบรกโดยอัตโนมัติเพื่อให้รถวิ่งด้วยความเร็วที่ต่ำ และคงที่ ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากเมื่อจะต้องจดจ่อกับการบังคับพวงมาลัยในสภาพพื้นที่ไม่คุ้นเคย
รวมถึงในการขับแบบ Walking Speed ในสภาพที่เป็นเขาเนินชัน พละกำลังของเครื่องยนต์ และระบบเทคโนโลยีที่จัดมาให้ ก็จะช่วยส่งรถให้ขึ้นปีบไต่ระดับได้อย่างง่ายดาย ด้วยพละกำลังของแรงบิดที่มากมาย เรียกว่าไม่ต้องเติมคันเร่ง ตัวรถก็จะค่อย ๆไต่ขึ้นไปเพียงเราประคองพวงมาลัยให้อยู่ในเส้นทางเท่านั้น ตัวรถ และระบบต่าง ๆ ก็ช่วยให้ผ่านพ้นอุปสรรถไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งถ้ายังไม่คุ้นชินกับเส้นทางหรือมองสภาพพื้นถนนไม่ออก เพราะจะมีทั้งหินใหญ่ บ่อหลุม และทางเนินชัน เราสามารถเปิดระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ (Body Transparent) ที่ช่วยจดจำข้อมูลภาพจากกล้องรอบตัวรรถระหว่างการขับขี่รวมกับข้อมูลภาพของพื้นดินแล้วแสดงภาพถนนแบบพาโนรามาด้านล่างและด้านหน้ารถ ทำให้สามารถหลบหลีกหินก้อนใหญ่และหลุมลึกได้อย่างแม่นยำ
สุดท้ายทาง GWM ยังได้โชว์ประสิทธิอีกหนึ่งอย่างที่มีอยู่บนตัวของเจ้า GWM TANK 300 HEV นั้นก็คือ ระบบ TANK Turn โดยทาง GWM ได้จำลองสถานการณ์จริง โดยจะให้สื่อมวลชนทดลองกัน ซึ่งระบบนี้จะช่วยกลับรถในพื้นที่แคบ โดยเริ่มจากเข้าเกียร์ว่าง และกดเข้าไปที่ปุ่ม Cruise Control ที่อยู่ด้านซ้ายของคันเกียร์ ต่อด้วยการกดปุ่ม TANK Turn ที่อยู่ด้านล่างลงมา พร้อมหักพวงมาลัยให้สุด แล้วคองประคองพวงมาลัย
โดยตัวระบบจะทำการเบรกล้อใน หรือที่ล้อหลัง เพื่อให้ตัวรถเกินการเหวี่ยง ซึ่งคล้าย ๆ การดิฟท์ล้อหลัง ซึ่งจะช่วยให้มีวงเลี้ยวที่แคบ สามารถเลี้ยว หรือกลับรถในพื้นที่ ที่จำกัด ทำให้ไม่ต้องหักพวงมาลัยเดินหน้าถอยหลังหลายครั้ง
สรุปภาพรวมของ GWM TANK 300 HEV
หลังจากที่ได้ทดลองขับ และสัมผัสกับเจ้า GWM TANK 300 HEV ในทุกรูปแบบทั้งบนทางออนโรด และออฟโรด ต้องบอกว่าเป็นรถที่น่าสนใจอีกรุ่น สามารถใช้งานได้จริงทั้งบนเส้นทางแบบออนโรดแบบในเมือง และวิ่งทางไกล รวมทั้งทางแบบออฟโรด ถึงแม้บนเส้นทางออนโรดดูจะไม่ค่อยเนียนตา เนียนตัวสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะในโหมด ECO ที่ดูจะอืดไปเล็กน้อย รวมถึงพวงมาลัยที่มีความเบาเกินไป มีความกลิ้งไปกลิ้งมา ถึงแม้ว่าจะปรับมาในโหมดสปอร์ตแล้วก็ตาม
ในด้านอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของเจ้า GWM TANK 300 HEV จากการที่ทดลองขับอยู่ 2 วัน จะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7-8 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งถือว่ากินน้ำมันพอดู ซึ่งก็ตรงกับคอนเซปต์ของตัวรถที่ทางผู้ผลิตบอกไว้ก่อนล่วงหน้าว่าระบบไฮบริดที่มีอยู่บนตัวเจ้า TANK 300 คันนี้จะช่วยให้เรื่องของพละกำลังไม่เน้นในเรื่องของความประหยัดสักเท่าไหร่
อีกทั้งตัวรถออกแบบมาในสไตล์ BOXY แบบกล่อง ที่จะเหมาะกับการวิ่งเท่ห์ ๆ บนถนนทางยาว ๆ ไม่เหมาะกับสายซิ่งสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าจะมีพละกำลังเครื่องยนต์รวมในระดับมากกว่า 300 แรงม้าก็ตาม ระบบช่วงล่างถ้าวิ่งบนแบบออนโรดจะมีความนิ่มย้วยไปบ้างเล็กน้อย เบาะหลังมีอาการโยกเมื่อเข้าโค้งในความเร็วสูง เพราะด้วยตัวรถที่ถูกออกแบบให้มีความสูงในแบบฉบับรถออฟโรด
แต่ถ้าพูดถึงตัวตน และคาแรคเตอร์ที่แท้จริงของ GWM TANK 300 HEV เค้าเกิดมาเพื่ออยู่บนเส้นทางออฟโรด ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วงล่างที่ปรับเซทมาให้รองรับการใช้งานที่รูปแบบออฟโรดแบบเต็มรูปแบบ รวมถึงยังมีระบบเทคโนโลยีการขับขี่แบบออฟโรดที่มีมาให้แบบจัดเต็ม
ซึ่งถ้าคุณกำลังมองหารถเอสยูวีแบบ 5 ที่นั่ง ที่วิ่งได้ทั้งออนโรด และแบบออฟโรด มาพร้อมเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดดเด่นเรื่องการดีไซน์ หน้าตาบุคลิคที่ดูเท่ห์ ออปชันที่จัดมาให้แบบล้น ๆ งานดีไซน์ภายในที่ดูดี ที่สำคัญมาพร้อมระบบเทคโนโลยีการขับขี่แบบออฟโรด ที่หาได้เฉพาะกับรถเอสยูวีในระดับ Luxury บอกเลย TANK 300 HEV เอสยูวีคันนี้ตอบโจทย์ครับ
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือราคาค่าตัวของเอสยูวีออฟโรดสายลุยรุ่นใหม่คันนี้ที่ถูกตั้งราคาเริ่มที่ 1.649 ล้านบาท ไปจนถึงรุ่นท๊อปที่มีราคาอยู่ที่ 1.799 ล้านบาท ซึ่งดูจะมีค่าตัวที่แอบสูงเอาเรื่อง โดยตรงนี้อาจจะเป็นจุดเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาด ที่เป็นรถในรูปแบบเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ล่ะท่าน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงข้อมูลจากทางผู้เขียน ทางที่ดีควรเข้าไปลอง และสัมผัสขับตัวจริง เพื่อเป็นการตัดใจดูว่าราคาที่ทาง GWM ตั้งมานั้นอาจจะไม่สูงเกินไปสำหรับตัวท่านก็เป็นไปได้